การถือความเชื่ออย่างถูกต้อง

คำเทศนาเรื่อง การถือความเชื่ออย่างถูกต้อง

ในเช้าวันนี้ ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ยก.1:18 - 27 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ยากอบ 1:18-27 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

และข้อพระคัมภีร์ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 18 และข้อที่ 22 และผมจะให้ชื่อเรื่องของเรื่องคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า การถือศาสนาอย่างถูกต้อง ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เชื่อทุกคนจะต้องรับรู้และทราบ ทั้งนี้เพื่อที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันนั่นก็คือว่า คริสต นั้นไม่ใช่ศาสนา

คำถามก็คือว่า เมื่อคริสต์ไม่ใช่ศาสนาแล้วมันคืออะไร ?

คำตอบอย่างง่ายๆนั่นก็คือว่า คนที่ถือคริสตนั้น คือคนที่เชื่อในพระเจ้าหรือผู้ที่เชื่อในพระเยซู

คำถามต่อไปก็คือว่า ? เมื่อตอนที่เราไปทำบัตรประจำตัวประชาชนที่อำเภอ แล้วเจ้าหน้าที่เขาถามเราว่าไม่ทราบว่าคุณนับถือศาสนาอะไรค่ะ ?

เราจะตอบเจ้าหน้าที่อย่างนี้ได้ไหมครับว่า ? เรานับถือพระเจ้า พระเยซู เราตอบได้ไหมครับ ? เราตอบได้

แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเขาก็จะทำบัตรประจำตัวประชาชนของพี่ - น้องและของผมออกมาว่าเรานั้นนับถือศาสนาอะไรครับ ? ศาสนาคริสตอยู่ดี เพราะฉะนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้ ได้เข้าใจว่า โดยแท้จริงแล้วมันมีที่มาและมันมีที่ไปอย่างไร

อย่างไรก็ตามในเวลานี้ เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่พี่ - น้องและผม ได้อยู่ในความเชื่อที่ถูกต้อง แต่พี่ - น้องยังจำได้ใช่ไหมครับ ที่ผมเคยพูดว่า ถ้าเรามีความเชื่อในศาสนานั้นๆไม่ว่าศาสนานั้นจะเป็นศาสนาอะไรก็ตาม แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะประพฤติหรือปฏิบัติตามความเชื่อของศาสนานั้นๆได้ นั่นหมายความว่า เรามีศาสนานั้นอยู่เพียงแค่ในบัตรประจำตัวประชาชนของเราเท่านั้นเอง

อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า ถ้าเราไม่สามารถที่จะประพฤติหรือปฏิบัติตามความเชื่อของศาสนานั้นๆได้ นั่นหมายความว่า เรามีตัวเองเป็นศาสนาก็ว่าได้ พี่ - น้องยังจำได้ใช่ไหมครับ ?

ดังนั้นเมื่อพี่ - น้องและผมต่างอยู่ในความเชื่อที่ถูกต้องแล้ว พี่ - น้องและผมก็ควรที่จะอยู่ในการประพฤติหรือการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย เพราะนี่คือหลักในการถือศาสนาที่ถูกต้อง

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1     อยู่ในข้อที่ 19 ก นั่นคือ จงให้ทุกคนไวในการฟัง

            พี่ - น้องที่รักครับ พระเจ้าของเรานั้นเป็นพระเจ้าที่ทรงมีเหตุและมีผล มีกี่คนที่เชื่ออย่างนั้นให้ตอบว่าอาเมน ?

พระเจ้าทรงสร้างให้มนุษย์เรานั้นมี 2 หู 1 ปาก สวยงามไหมครับ ในทางกลับกันถ้าพระเจ้าทรงสร้างพี่ - น้องให้มี 2 ปากและปากอยู่แทนที่หู และสร้าง 1 หูและให้หูอยู่แทนที่ปาก

พี่ - น้องลองมโนภาพดูสิครับว่า ภาพไหนสวยงามกว่าภาพไหน ภาพปัจจุบันเนี่ยแหละดีที่สุดแล้ว แต่มนุษย์อย่างเรา มักจะทำเสมือนว่า พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาให้มี 2 ปาก 1 หู

            ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาให้มี 2 หู กับอีก 1 ปากก็ขอให้เราได้เป็นเหมือนกับที่พระคำของพระเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้ในตอนนี้นั่นก็คือ ให้เราที่จะไวในการฟังช้าในการพูด

            คำถามก็คือว่า ไวในการฟังในที่นี้ คือ ฟังอะไร

ใช่ไวในการฟังเรื่องของชาวบ้านไหมครับ ?

คำตอบอยู่ในบทที่ 1:18 พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ให้เราไวในการฟัง สัจจะวาทะหรือพระวจนะคำของพระเจ้า สัจจะวาทะ นี้เองพี่ - น้องที่รัก ที่ทำให้เราทั้งหลายนั้นได้บังเกิดใหม่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

ดังนั้นเราจะต้องนำสัจจะวาทะ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสสอนเราเอาไว้นั้นมาใช้เป็นหลักในการประพฤติ ปฏิบัติหรือนำมาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตใหม่ของเราในแต่ละวันทุกวัน

ซึ่งเราอาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า ชีวิตคริสเตียนของพี่ - น้องและผมนั้นจะเจริญเติบโตหรือจะสวยสดงดงามอย่างแน่นอน ถ้าเราต่างรดน้ำพรวนดินด้วยสัจจะวาทะหรือด้วยพระคำของพระเจ้า

ไวในการฟัง ในที่นี้คือฟังอะไรครับ ? คำตอบอยู่ใน รม.10:17 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ฉะนั้นความเชื่อเกิดจากการได้ฟัง และการได้ฟังเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์

จากพระคัมภีร์ข้อเดียวกันนี้ แต่ผมจะพูดใหม่อย่างนี้ได้ไหมครับว่า ความเชื่อเกิดจากการได้ฟังและได้ยินพระคำของพระคริสต์ เพราะฉะนั้นในวันอาทิตย์ที่พี่ - น้องมาคริสตจักรหรือมาโบสถ์ พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าอย่างไรครับ ? พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ให้พี่ - น้องต่างที่จะมีความหิวหรือกระหายและหรือมีความตะกละในการเป็นนักฟังที่ดี

คำถามคือว่า ฟังอะไรครับ ? คำตอบ คือ ฟังสัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์และนำพระคำที่ได้ยินได้ฟังนั้น กลับไปเป็นหลักประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตใหม่ของเราในแต่ละวันทุกๆวัน

มีพี่ - น้องกี่คนครับ ที่เคยไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ ? แล้วมีกี่คนครับที่เคยไปดูหนังในโรงภาพยนตร์แล้วหลับ คุ้มไหมครับ เสียดายตังค์ไหม

เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รัก ถ้าเรามาโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ซึ่งได้ยินสัจจะวาทะของพระเจ้าผ่านผู้เทศน์ผู้สอน แต่พี่ - น้องกับไม่ได้นำพระคำนั้นกลับไปเป็นหลักประพฤติปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิตใหม่ของเราในแต่ละวัน อย่างนี้ถือว่าพี่ - น้องขาดพระพรหรือไม่ได้รับพระพรของพระเจ้าไหมครับ ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากการที่พี่ - น้องเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์แต่กับหลับ

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก.4:23 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ถ้าใครมีหูจงฟังเถิด ในเช้าวันนี้ถ้าใครมีหูจงฟังไว้เถิดว่า

ถ้าพี่ - น้องมาคริสตจักรทุกวันอาทิตย์แต่ถ้าพี่ - น้องไม่ได้นำสัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นกับไปเป็นหลักประพฤติ ปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิตของท่านในแต่ละวัน ถ้าใครมีหูจงฟังไว้เถิดว่า ท่านจะไม่ได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างเต็มที่หรืออย่างเต็มขนาดที่ท่านควรจะได้รับ

เมื่อพี่ - น้องไม่ได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างเต็มที่หรืออย่างเต็มขนาดที่ควรจะได้รับ พี่ - น้องทราบไหมครับ ผู้เชื่อบางคนเขาโทษใครพี่ - น้องลองเดาสิครับ ? โทษพระเจ้า เขาโทษพระเจ้าว่า ทำไมเราเชื่อพระเจ้าแล้วทำไมถึงขาดพระพร ทำไมคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเขาถึงได้ดีกว่าเรา และทำไมและก็ทำไม

ผมบอกกับ อ.ดา เสมอว่า อย่าให้ผมคุยกับผู้เชื่อพวกนี้นะ ถ้าผมคุยกับพวกเขานะพวกเขาอักเสบแน่ เพราะผมอาจจะพูดกับเขาตรงๆด้วยว่า คุณจะไปเชื่อพระไหนก็ได้ ตามใจคุณเถิด เพราะเวลานี้มันไม่ใช่พระองค์ไหนหรอก แต่มันเป็นที่ตัวคุณเองต่างหาก ที่เอาพระศาสนาแต่เพียงเปลือกนอก

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2     อยู่ในข้อที่ 19 ข นั่นคือ ช้าในการพูด

            พี่ - น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสสอนว่า ไวในการฟังช้าในการพูด แต่คนส่วนมากมักจะทำในทางตรงกันข้าม กับสิ่งที่พระเยซูได้ทรงตรัสสอนเอาไว้นั่นก็คือ เขามักจะ ไวในการพูดช้าในการฟัง พี่ - น้อง ว่าจริงหรือไม่จริงครับ ?

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ จึงได้กล่าวเตือนเราว่า ให้ระมัดระวังเวลาที่เราจะพูด

            พี่ - น้องที่รักครับ โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เราชอบที่จะพูดจริงหรือไม่จริง เราชอบที่จะ Mount แตก หรือ Mount กระจาย บางคนชอบที่จะพูดทั้งๆที่พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างหรือรู้จริงบ้างรู้ไม่จริงบ้าง อีกทั้งบางครั้งมนุษย์บางคนก็ชอบที่จะหาคำตอบในทุกเรื่องที่คนเขาพูดกัน และหลายๆครั้งที่เรามักจะไม่ค่อยฟังคำตอบจากคนอื่นที่เขาพยายามอยากจะบอกให้เราฟัง

            บางคนเป็นคนชอบพูด พูดไม่หยุด พูดไม่หายใจ ภาษาอังกฤษเรียกคนเหล่านี้ว่าCompulsive Talkers แปลว่าพูดแบบปืนกลไฟ คือรัวไปเสียหมด คนเหล่านี้มักจะเป็นนักฟังที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า การที่คนเราพูดมาก ทำให้คนที่เขาฟังอยู่นั้น ขาดการคิดใคร่ครวญ การที่คนเราพูดมาก ทำให้คนที่เขาฟังอยู่นั้น ขาดการใช้ความคิดลึกๆ

มีเรื่องหนึ่ง ที่อาจารย์ของผมเป็นผู้เล่าให้ฟังท่านเล่าว่า มีเพื่อนซึ่งเป็นคริสเตียนตาบอดคนหนึ่ง แต่คริสเตียนตาบอดคนนี้เขาเป็นคนมีปัญญานะครับ

วันหนึ่งอาจารย์ได้พาพี่ - น้องคริสเตียนกลุ่มหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนคริสเตียนตาบอดคนนี้ แต่มีคริสเตียนคนหนึ่งในกลุ่มของคนที่ตาดีคนนี้เป็นคนที่ชอบพูดมาก พูดไปเรื่อย

เมื่อทุกคน ได้เยี่ยมคริสเตียนตาบอดคนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว คริสเตียนตาบอดคนนี้ได้พูดขึ้นมาคำหนึ่งกับอาจารย์ของผม เขาพูดว่าผู้หญิงคนที่พูดมากคนนั้นนั้นเขาคิดโดยใช้ลิ้นรึ

พี่ - น้องเขาใจไหมครับว่า มันหมายความว่าอะไร ? มันหมายความว่า เขาไม่ได้ใช้ความคิดเลยนึกจะพูดอะไรก็พูดไปเรื่อย

มีคำคมคำหนึ่งกล่าวว่า ความเงียบเปรียบดั่งรั้วปกป้องปัญญา และ การสงบปากคำเป็นมธุรสแห่งวาจา ซึ่งถ้าเราจะเปรียบคำคมนี้ให้มีมูลค่ามีราคาสักนิดหนึ่ง เราอาจจะพูดได้อย่างนี้ครับว่า บางคนคำพูดนั้นมีค่าดั่งเงิน บางคนคำพูดนั้นมีค่าดั่งทอง

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยพี่ - น้องที่รัก ที่พูดไม่ได้ทั้งเงินและไม่ได้ทั้งทอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่จะมีบางคนพูดว่า เฮ้ยเองอ่ะหยุดพูดเถอะ หรือเองจะพูดไปทำไมวะ เป็นต้น ซึ่งหมายความว่าให้คนที่เขามีสาระพูดดีกว่า

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3     อยู่ในข้อที่ 19 ค นั่นคือ ช้าในการโกรธ

            พี่ - น้องคิดว่า คนที่ไวในการพูดมักจะเป็นคนที่ไวในการโกรธด้วยไหมครับ ? มักจะเป็นคนที่ไวในการโกรธด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพูดกับการโกรธจึงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือ สภษ.29:20 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เจ้าเห็นคนที่ปากไวหรือ ยังมีหวังในคนโง่มากกว่าเขา

พระคำของพระเจ้าใน สภษ.29:20 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เรายังมีความหวังในคนโง่ มากเสียกว่าคนที่ปากไวเสียอีก

            ผมก็มานั่งคิดๆดูมันก็จริงนะครับพี่ - น้อง เพราะคนที่ปากไวบางคนพูดไปแล้ว เขาก็ต้องมานั่งเสียใจหรือต้องมานั่งแก้ไขปัญหาในภายหลัง

เยาวชนหลายต่อหลายคนต้องตายไปก่อนวัยอันสมควร เหตุเพราะโดนลูกหลงเนื่องจากมีเพื่อนที่เป็นคนปากไว

แต่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าใครด่าเขา สมมตินะครับว่าพี่ - น้องด่าผมแต่ผมไม่รู้ว่าพี่ - น้องด่าผม คนพวกนี้ปากจะไม่ไวเพราะผมโง่ไง กว่าผมจะรู้อีกที่ก็ตอนเมื่อผมกลับมาถึงบ้านแล้วผมจึงคิดออก พระคัมภีร์จึงบอกว่าคนพวกนี้ยังน่าคบกว่าอีก

พี่ - น้องหลายคนอาจจะโกรธอย่างถูกต้องหรือเรื่องก็ได้ เช่น เมื่อเราเห็นคนทำบาป เราก็รู้สึกโกรธ แต่ในความโกรธนั้นคุณอย่าใช้คำไม่ดีหรือคำด่า ผู้เขียนพระธรรมยากอบ จึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ในข้อที่ 20 ว่า ความโกรธนั้นไม่ได้นำความชอบธรรมมาให้

ดังนั้นพี่ - น้องและผม จึงต้องระมัดระวังคำพูดของเราเวลาที่โกรธอยู่เสมอ เพราะความโกรธไม่สามารถทำให้เกิดสิ่งดีของพระเจ้าในชีวิตของเราได้

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 อยู่ในข้อที่21นั่นคือ จงเลิกนิสัยเก่าๆเสีย

            พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า จง ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติไม่ได้ ยากอบสอนว่าให้เรานำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆนั้นออกจากชีวิตของเรา แต่ไม่ใช่ด้วยกำลังของเรา

ขอเชิญที่ประชุมอ่าน รม.15:19 พร้อมๆกันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ ยากอบสอนว่าให้เรานำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆนั้นออกจากชีวิตของเรา แต่ไม่ใช่ด้วยกำลังของเรา เพราะมนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ให้เรานำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆนั้นออกจากชีวิตของเราโดยการพึ่งฤทธิ์เดชหรือฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ถ้าพี่ - น้องอยากให้พระคำของพระเจ้าที่พี่ - น้องอ่านในแต่ละวันหรือฟังในแต่ละสัปดาห์ ฝังรากและหยั่งลึกในชีวิตของพี่ - น้อง พี่ - น้องจะต้องทิ้งสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ออกจากชีวิตของพี่ - น้องให้หมด (ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งให้หมด)

เปรียบเหมือนกับเสื้อผ้าที่มันสกปรก ถ้ามันสกปรกแล้วเรายังใส่อยู่ไหมครับ ?

เราจะต้องถอดเสื้อผ้านั้นทิ้งลงไปในถังซักให้หมด ไม่ว่าเสื้อนั้นจะมีราคาแพงขนาดไหนก็ตามจริงหรือไม่จริง

            เมื่อเราทิ้งสิ่งที่ไม่ดีต่างๆนั้นออกจากชีวิตของเรา พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าให้เรา น้อมรับ หรือ รับเอา พระธรรมคำสอน ที่พระเจ้าได้ทรงตรัสสอนเอาไว้ในชีวิตของท่านเถิด

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า ถ้าเราได้กำจัดหรือขจัดความไม่ดีต่างๆออกจากชีวิตของเราให้หมดไป พี่ - น้องอยากทราบไหมครับว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ?  พระคำของพระเจ้าจะเริ่มลงรากลึกในชีวิตของพี่ - น้อง ถ้าสัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์ฝังรากในเรา เราก็จะมีผลแห่งความประพฤติที่ดีนั้นออกมา และนี่คือคริสเตียนที่มิใช่เพียงแต่ได้รับความรอดในบึงไฟเท่านั้น แต่เป็นคริสเตียนที่ได้รับความรอดจากการทดลองในแต่ละวันด้วย

เพื่อให้พี่ - น้องเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและมีความเข้าใจที่ตรงกัน ผมขออนุญาตที่จะอธิบายถึงคำว่า ความรอด คำนี้สักเล็กน้อย ว่าโดยแท้จริงแล้วตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์แล้วนั้น มันหมายถึงอะไร

ความรอด ตามหลักของพระคัมภีร์แล้วมี 3 ระดับ

1)ถ้าพี่ - น้องเชื่อในพระเจ้าพระเยซู พี่ - น้องก็รอดจากในบึงไฟนรกและ นี่คือความรอดอย่างแรก ผมขอบพระคุณพระเจ้าที่สัปดาห์ที่ผ่านมา พี่อ๊อดได้เปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว นี่คือความรอดอย่างแรก

2)รอดพ้นจากการทดลอง ซึ่งในปัจจุบันที่เป็นอยู่นี้ เรากำลังเผชิญกับความรอดประเภทนี้กันอยู่ทุกวัน ซึ่งผู้เชื่อบางคนบางวันก็ได้รับความรอดจากความรอดนี้ ผู้เชื่อบางคนก็ไม่รอด ที่สำคัญผู้เชื่อหลายคนก็ไม่ได้ความรอดจากความรอดนี้สักวัน

เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้ล่ะ เฝ้าเดี่ยวก็ไม่เฝ้า สามัคคีธรรมร่วมกับพี่ - น้องก็ไม่เฝ้า อ่านพระคัมภีร์ก็ไม่อ่าน อธิษฐานก็ไม่อธิษฐาน สิบลดก็ไม่สัตย์ซื่อ มาโบสถ์บ้างไม่มาโบสถ์บ้าง คือ ผู้เชื่อแบบนี้แหละครับที่มักจะไม่รอดจากการทดลอง และความรอดตามหลักของพระคัมภีร์ระดับที่ 3 ก็คือ ความรอด ซึ่งนำมาซึ่งความสมบูรณ์ ซึ่งความรอดนี้จะเกิดขึ้น เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จกลับมา

ประมาณ 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ถ้าพี่ - น้องยังจำคำพยานของพี่ - น้องส่วนใต้ที่ชื่อ K.ปิ๋ม ได้

K.ปิ๋ม ในขณะที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าซึ่งเป็นคนที่ใจร้อนมาก พกปืนกี่กระบอกครับ ? 3

แต่เพียงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้นพี่ - น้องที่รักที่ K.ปิ๋ม ได้กลับใจมาเชื่อพระเจ้า และเมื่อ K.ปิ๋ม เขาได้ให้สัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์ ได้สลายเข้าไปในชีวิตของเขา เข้าไปในเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเขา ซึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่า สัจจะวาทะหรือพระคำขององค์พระเยซูคริสต์นั้นได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของ K.ปิ๋ม ไปแล้ว ปัจจุบันนี้ เวลานี้ K.ปิ๋ม ไม่ได้พกปืนแล้วแต่พกอะไรแทนครับ ? ดาบ

ดาบในที่นี้นั่นคืออะไรครับ ? พระคำของพระเจ้า

ฮีบรู4:12 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิต และทรงพลานุภาพอยู่เสมอคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูกและสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

สิ่งที่พระคำของพระเจ้า ต้องการที่จะบอกกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า เมื่อชีวิตคริสเตียนของพี่ -น้องนั้นเติบโต ผลแห่งความประพฤติดีนั้นจะออกมา จนคนจะเห็นได้ว่า เราไม่ได้มีนิสัยเก่านั้นอีกแล้ว

ที่สำคัญอยู่ในตอนท้ายของข้อที่ 21 พระคำของพระเจ้าพูดว่าอย่างไรครับ สามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้า K.ปิ๋ม เชื่อในพระเจ้า แต่ถ้าเขาไม่ได้ขจัดหรือทิ้งสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีออกจากชีวิตของเขาหรือถ้าเขาไม่ได้หยั่งรากลึกลงในสัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเหมือนกับ K.ปิ๋ม ในวันนี้

K.ปิ๋มที่เชื่อพระเจ้า แต่ถ้าเขาไม่ได้ละทิ้งตัวเก่าก็อาจจะรอดก็เพียงรอดจากบึงไฟ แต่เขาอาจจะไม่รอดจากคุกก็เป็นได้ เพราะปืน 3 กระบอกกับอารมณ์เพียงแค่ชั่ววูบนั้น มันทำอะไรได้ทั้งนั้นแหละพี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง และมาร ซาตานมันอาจจะใช้จุดนี้แหละที่ทำให้เขาไม่รอดจากคุกก็เป็นได้

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 5     อยู่ในข้อที่ 22 - 23 เราพบการนำไปปฏิบัติ

จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ ทำให้เราทราบว่าผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้คือท่าน อ.ยากอบ นั้นท่านเป็นผู้ที่มีความสนใจในภาคปฏิบัติหรือให้ความสนใจต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนในแต่ละวันเป็นอย่างมาก

            เวลานี้พี่ - น้องและผม เราต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่า เราอยู่ในความเชื่อที่ถูกต้อง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่มันจะดีและดีมากขึ้นและดีมากๆถ้าพี่ - น้องและผมนำความเชื่อที่เรามีอยู่นั้นไปปฏิบัติให้เห็นจริงได้

            พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่า ถ้าความเชื่อที่พี่ - น้องและผมมีอยู่ แต่ถ้ามันไม่สามารถเอาไปปฏิบัติได้แล้ว เราจะเรียกความเชื่อนั้น ว่าเป็นความเชื่อที่ดีได้อย่างไร

ดังนั้นความเชื่อทุกความเชื่อ ต้องเป็นสิ่งที่ผู้คนเอาไปใช้ได้จริงๆและนี่คือการถือศาสนาอย่างถูกต้อง แต่ก่อนที่เราจะนำความเชื่อนั้นไปปฏิบัติ เราจะต้องสนใจฟังหรือรับพระคำนั้นก่อน และจะต้องรับพระคำนั้นอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่เพียงแค่สัปดาห์ละ 45 นาที- 1 ชม.ในวันอาทิตย์เท่านั้น

ผม กับ อ.ดา รวมทั้งพี่ - น้องบางท่านด้วยนะครับ ช่วยกันปลูกต้นทั้งในโบสถ์และนอกโบสถ์ วันไหนหรืออาทิตย์ไหนถ้า อ.ดาหรือผมไม่ได้ดูแล ไม่นานนักเราก็จะพบว่าใบนั้นมันจะถูกหนอนหรือว่าถูกดักแด้มากัดกินและใบก็จะมีรูโหว่ให้ได้เห็น

ดังนั้นผม กับ อ. ดาและรวมทั้งพี่ - น้องก็จะต้องช่วยกันดูแล ให้น้ำ ให้ปุ๋ยเคมี ในสัดส่วนต่อน้ำที่เหมาะสม ต้น ดอกและใบมันถึงจะใช้ได้

เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องและผม หมั่นที่จะให้สัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์ซึ่งเปรียบเสมือนกับน้ำในฝ่ายวิญญาณ หมั่นคอยรด ต้น ดอก ใบในฝ่ายวิญญาณของพี่ - น้องและผมอยู่เสมอ โดยการอ่านพระคำ ฟังพระคำ สะสมพระคำ ย่อยพระคำ ปฏิบัติตามพระคำ

สัจจะวาทะของพระเจ้า มันจะค่อยๆละลายหรือมันจะค่อยๆทำงานในชีวิต และในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งเราอาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระคำของพระเจ้าจะออกผลเมื่อเรานำปฏิบัติ

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ.7:24 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา นี่คือการถือความเชื่อที่ถูกต้อง

เจอโรมซึ่งเป็นนักเทศน์ในศตวรรษแรก ได้กล่าวคำพูดหนึ่งเอาไว้อย่างน่าสนใจมากว่า ถ้าเราอ่านพระคำซึ่งเป็นสัจจะวาทะของพระเจ้าแล้วและถ้าเรานำไปปฏิบัติ สัจจะวาทะนั้นจะต้องส่งผลต่อชีวิตของเราอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างแน่นอนนั่นก็คือ มันจะต้องดีขึ้นและดีขึ้น

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า รัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองของประเทศนี้ทุกฉบับได้มาโดยแลกกับเลือดเนื้อของผู้รักประชาธิปไตยทั้งสิ้น สัจจะวาทะหรือพระวจนะของพระเจ้าเล่มนี้ก็เช่นเดียวกัน กว่าจะได้มา ก็ต้องแลกด้วยเลือดและเนื้อขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

ดังนั้น เมื่อเราหยอดหูของเราด้วยเลือดและเนื้อขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าผ่านการฟังพระวจนะของพระเจ้าในทุกๆวันและในวันอาทิตย์ และถ้าเรานำข้อแนะแนวคิดที่ได้รับจากการฟังนั้นไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างแท้จริง

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ฉลธ.28:13 ตรัสไว้ดังนี้ว่า ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหางกระทำให้สูงขึ้นทางเดียวไม่ใช่ให้ต่ำลง ซึ่งนั่นหมายความว่า

1) เราจะได้รับพระจากพระเจ้าอย่างปกติ ซึ่งชีวิตของผมกับ อ.ดาเป็นพยานได้

2 ) ชีวิตของเรานั้นจะต้องดีขึ้นทางเดียว

ดังพระคำของพระเจ้าในหนังสือ พรบ.28:44 ตรัสว่า เขาจะให้ท่านทั้งหลายยืมของของเขาได้ และท่านจะไม่มีให้เขายืม เขาจะเป็นหัว และท่านจะเป็นหาง

นี่คือพระสัญญาของพระเจ้า เมื่อเป็นพระสัญญาของพระเจ้าแล้ว มันจะมีไหมคำพูดในทำนองที่ว่า ทำไมเราก็อธิษฐานแล้วแต่ถ้าไมพระเจ้าไม่อวยพร หรือทำไมคนไม่เชื่อพระเจ้า หาปลาได้มากกว่าเรา มันจะไม่มีคำพูดเหล่านี้ออกมาอย่างแน่นอน

ดังนั้นใครก็ตามที่พูดในทำนองที่ผมได้พูดไปเมื่อสักครู่นี้ ขอให้ท่านตีปากตัวเอง 1 ที ปัญหาก็คือว่า เราฟังสัจจะวาทะของพระเจ้าในอาทิตย์นี้ พออาทิตย์หน้าเราก็กลับมาฟังอีกและอาทิตย์ถัดและถัดไปเราก็กลับมาฟังอีก

แต่เราไม่ได้นำสัจจะวาทะของพระเจ้านั้นกลับไปปฏิบัติอย่างแท้จริง ชีวิตของเราจึงเหมือนเดิมและเหมือนเดิมหรือแย่ลงและบางคนกับเลวลงกว่าเดิมอีกและนี่คือจุดอ่อนของผู้เชื่อในแต่ละยุคแต่ละสมัย

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ อสค.1:7พระคำของพระเจ้าตรัสว่า แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ยอมฟังเจ้า เพราะเขาไม่ยอมฟังเรา เพราะว่าพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้น เป็นคนหัวแข็งและจิตใจดื้อดึง

จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเตือนอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติของพระองค์ผ่านเอเสเคียลว่า ให้พวกเขาฟังแล้วนำไปปฏิบัติ แต่พวกเขาก็ไม่ได้นำไปปฏิบัติแต่อย่างใด นี่คือจุดอ่อนของพวกเราซึ่งเราจะต้องอธิษฐานตัดสัมพันธ์กับวิญญาณแห่งบรรพชนของเราด้วยทั้งนี้เพื่อที่เราจะไม่มีจิตใจที่ดื้อดึงกับพระเจ้า

พระคำของพระเจ้า กล่าวอย่างไรต่อไปในปลายข้อที่ 22 ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตัวเอง และในข้อที่ 23

ก่อนที่จะไปกันต่อ ผมขออนุญาตที่จะเว้นวรรคสักนิดหนึ่ง ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่าผมกับ อ.ดา เราทั้งสองคนรับผิดชอบในการเตรียมเทศน์เตรียมสอนในแต่ละครั้งอย่างดี และไม่เพียงเท่านั้นนะครับ ผม กับ อ.ดา เราทั้งสองคนก็จะต้องรับผิดชอบโดยการนำคำเทศนานั้นไปปฏิบัติด้วย

ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจด้วยว่า ผม กับ อ.ดา ไม่ได้พูดพระคำของพระเจ้าเพียงแค่ให้พี่ - น้องฟัง และ ผม กับ อ.ดา ก็ไม่ได้พูดธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพื่อให้คนอื่นหรือพี่ - น้องปฏิบัติ

แต่ ผม กับ อ.ดา ก็จะต้องนำไปปฏิบัติด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกัน พี่ - น้องเองก็จะต้องรับผิดชอบในการฟัง และจะต้องรับผิดชอบในการนำไปปฏิบัติด้วยเช่นกัน

กลับมาที่พระคำของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระคำของพระเจ้าได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่าคริสเตียนเอ๋ยอย่าฟังแล้วเฉยๆ ถ้าเราฟังแล้วเฉยๆยากอบบอกว่าเราเป็นเหมือนอะไรครับ เราเป็นเหมือนคนมองดูตัวเองในกระจก แต่ไม่ได้มองดูตัวเราเองว่ามีข้อแก้ไขอะไรบ้าง เช่น มีขี้ตาอยู่ตรงไหน มีขี้ฟันอยู่ตรงไหน นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมองตัวเองอย่างแท้จริง

คนที่ฟังสัจจะวาทะแล้วเฉยๆ นั่นหมายความว่า เขาไม่ได้ตั้งใจฟัง เปรียบเสมือนเขามองตัวเองแบบผ่านๆหรือไม่ได้มีการสำรวจตัวเอง เขาจึงมองไม่เห็นตัวเองอย่างแท้จริง

แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเวลานี้มันมีกระจกพิเศษพี่ - น้องที่รัก ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลวงคน เหตุเพราะเมื่อเขามองทีไรเขาก็จะเห็นว่ารูปร่างของตัวเองนั้นสวยทุกที ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก ที่คนเหล่านี้จะชอบยืนอยู่ที่กระจกชนิดนี้ เพราะเขาเป็นพวกเดียวกัน

แต่สัจจะวาทะหรือพระคำของพระเจ้านั้น ไม่ได้ถูกสร้างหรือไม่ได้ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเอาใจคนมองนะครับพี่ - น้อง

ดังนั้นถ้าพี่ - น้องไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติตามสัจจะวาทะของพระเจ้า พี่ - น้องฟังเมื่อไหร่ก็โดน ฟังที่ไหนก็โดน อ่านเมื่อไหร่ก็โดน อ่านที่ไหนก็โดน เพราะสัจจะวาทะ หรือ พระคำของพระเจ้านั้นสะท้อนความจริงของมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปอยู่เสมอ

ด้วยเหตุนี้กระมังครับพี่ - น้องที่รัก ที่ทำให้คริสตชนหลายคนในปัจจุบันนี้ ทั้งในสหรัฐอเมริการวมทั้งในประเทศไทยด้วย จึงมักจะไปแสวงหาคำเทศนาที่ทำให้เขาฟังแล้วรู้สึกดี

ประกอบกับมีผู้รับใช้พระเจ้าหรือศิษยาภิบาลบางคน ที่ชอบเทศน์แบบที่ทำให้คนฟังปลื้ม ฟังแล้วรู้สึกประทับใจหรือมีความสบายใจ ซึ่งเราเรียกการเทศน์ในสไตล์อย่างนี้ว่า พระกิตติคุแห่งความสบายใจ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่คนเทศน์จะต้องไม่เน้นในเรื่องนี้มากจนเกินไป จนทำให้พระคำของพระเจ้านั้นขาดความสมดุลย

ประการที่สำคัญคืออะไร พี่ - น้องทราบไหมครับ นับวันผู้เชื่อในลักษณะนี้จะมีมากขึ้น ผู้เชื่อแบบนี้จึงทำตัวเป็น นักชิมพระคำ เชลล์ชวนชิม คริสเตียนแม่ช้อยนางรำ คือ รู้ไปหมด ว่าจะไปกินพระคำที่ไหนที่ตัวเองรู้สึกประทับใจ

เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปงานพบปะสังสรรค์ที่บ้านของ อ.ณัฐ และ คุณพ-วงเดือน ยนตรรักษ์

ผมก็มีโอกาสไปเจอพี่ - น้องคริสเตียนท่านหนึ่งผมก็ถามพี่ - น้องท่านนี้ว่า พี่ชื่อพี่ไก่ใช่ไหมครับ ? ถ้าทักผิดผมต้องขอโทษด้วยเพราะมัน 10 กว่าปีแล้ว

ตอนนั้นใช่ แต่พี่ไปงานฟื้นฟูที่โบสถ์นั้นมา นักเทศน์ท่านนั้นเผยถ้อยคำของพระเจ้าให้กับพี่ว่า พี่ไม่ควรชื่อนี้ เขาก็เลยตั้งชื่อให้พี่ใหม่ว่า รูธ

และอีกไม่นานพี่ก็ไปงานฟื้นฟูที่โบสถ์นั้นมา นักเทศน์อีกท่านหนึ่งก็เผยถ้อยคำของพระเจ้าให้กับพี่ว่า ชื่อนี้ไม่เหมาะกับพี่ เขาก็เลยตั้งชื่อให้พี่ใหม่ว่า เกรซ

และอีกไม่นานพี่ก็ไปงานฟื้นฟูที่โบสถ์นั้นมา นักเทศน์อีกท่านหนึ่งก็เผยถ้อยคำของพระเจ้าให้กับพี่ว่า ชื่อนี้ไม่เหมาะกับพี่ เขาก็เลยตั้งชื่อให้พี่ใหม่ว่า.............

ผมต้องมาอธิษฐานสารภาพบาปกับพระเจ้าอย่างมากเลยคืนนั้น

F.B. Myers ซึ่งเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง จึงเรียกคริสเตียนประเภทนี้ว่า คริสเตียนยิบซี คือ จะย้ายถิ่นฐานในการหาพระคำนั้นกินไปเรื่อยๆ เขาจะไม่ลงรากปักฐานที่ไหนสักแห่ง ส่วนท่าน ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน ท่านเรียกคริสเตียนประเภทนี้ว่า คริสเตียนตองเหลือง ด้วยเหตุผลอะไรนั้นพี่ - น้องไปถามท่านเอาเอง

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ ชีวิตคริสเตียนของพี่ - น้องประเภทนี้ เมื่อเรามองเข้าไปลึกๆแล้ว เราก็พบว่าชีวิตของเขานั้นก็ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรเลย ซึ่งเราอาจจะพูดอย่างนี้ก็ได้ว่า มาวันแรกอย่างไรวันนี้ก็เป็นเหมือนวันนั้น

ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากและผมหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าพี่ - น้องที่คริสตจักรแห่งนี้จะไม่เป็นคริสเตียนยิบซีหรือคริสเตียนผีตองเหลืองนะครับ

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 6    อยู่ในข้อที่ 26 - 27 เราพบบทพิสูจน์การเป็นผู้เชื่อ

ในตอนต้นผมได้เรียนให้กับพี่ - น้องได้รับทราบแล้วว่าคำว่าคริสต์นั้นไม่ใช่ศาสนา พระกิตติคุณขององค์พระเยซูเจ้า ก็ไม่ใช่ศาสนา

แต่คำว่าคริสต์คำนี้คือ คนที่ผูกพันตัวกับพระเจ้า หรือการที่พระเจ้าทรงผูกพันคนที่ห่างไกลพระเจ้าให้เข้ามาใกล้พระองค์

ดังนั้นข้อพิสูจน์ของคริสตชนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระเจ้า คือ เขาต้องสงบปากสงบคำ เขาต้องรักหญิงม่ายและเด็กกำพร้าและต้องรักษาชีวิตให้พ้นราคีของโลกถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในโลกที่โสมมนี้ก็ตาม

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ในหนังสือ สภษ. 6:17 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ตายโสลิ้นมุสาและมือที่ทำทำโลหิตไร้ผิดตก

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราบอกว่าเราเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่ถ้าพี่ - น้องไม่สงบปาก สงบคำ เรายังชอบโต้เถียงกับคนอื่นเขาไปทั่ว ปากของเรายังพูดไม่ดีกับคนอื่นยังพูดจริงบ้างไม่จริงบ้าง

อ.ยากอบ บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนที่ทำอย่างนี้และบอกกับคนอื่นอย่างนี้ก็หลอกคนอื่นแล้วว่าคุณเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เพราะคนที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเขาไม่ได้เป็นหรือเขาไม่ได้ทำกันอย่างนี้ ซึ่งยากอบบอกว่า ลิ้น ของคนที่พูดอย่างนี้อาจจะมีปัญหาก็ได้

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ สดด. 68:5พระคำของพระเจ้าตรัสว่า พระเจ้าในที่ประทับบริสุทธิ์ของพระองค์ ทรงเป็นพระบิดาของคนกำพร้าและทรงเป็นผู้ป้องกันหญิงม่าย

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราบอกว่าเราเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่ถ้าเรายังไม่รักหญิงม่ายและเด็กกำพร้า ที่มีความทุกข์ร้อน

อ.ยากอบ บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนที่ทำอย่างนี้และบอกกับคนอื่นอย่างนี้ ก็หลอกคนอื่นแล้วว่าคุณเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เพราะคนที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เขาไม่ได้เป็นหรือเขาไม่ได้ทำกันอย่างนี้ ซึ่งยากอบบอกว่า ลิ้น ของคนที่พูดอย่างนี้อาจจะมีปัญหาก็ได้

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือ รม.3:26พระคำของพระเจ้าตรัสว่า และทรงโปรดให้ผู้เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย

ถ้าเราบอกใครต่อใครว่าเราเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแต่ถ้าไม่ได้รักษาชีวิตในทางชอบธรรม พระคำของพระเจ้าผ่านทางยากอบบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คุณก็หลอกคนอื่นแล้ว ว่าคุณเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า

เพราะคนที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเขาไม่ได้เป็นหรือเขาไม่ได้ทำกันอย่างนี้ ซึ่งยากอบบอกว่าลิ้นของคนที่พูดอย่างนี้อาจจะมีปัญหาก็ได้

บางคนบอกกับผมว่า อาจารย์ครับผมรักษาชีวิตในทางของพระเจ้าเสมอ เพียงแต่ผมไม่ค่อยได้สนใจพวกหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้าเท่านั้นเอง ผมอยากบอกกับพี่ - น้องว่า นั่นแหละคือ ความไม่ชอบธรรม

บางคนบอกผมว่า ผมสนใจหญิงม่ายและเด็กกำพร้า แต่ผมไม่ได้สนใจชีวิตที่บริสุทธิ์ ผมอยากบอกว่านั่นแหละคือ ความไม่ชอบธรรม

            พี่ - น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 27 ที่ตรัสว่า คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้า และหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก นั้นพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ต้องการที่จะให้ผู้เชื่อได้แสดงผลออกมาใน 2 ด้าน

ด้านแรก คือ ในด้านส่วนตัว    ด้านที่สอง คือ ในด้านสังคม

อาจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ต้องการให้ผู้เชื่อได้แสดงผลออกมาทั้งในด้านภายในและภายนอก

            ภายในคือมีภาระใจกับคนที่ด้อยโอกาสและในเวลาเดียวกันเราเองก็จะต้องรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า ทั้งสองอย่างนี้จะต้องไปด้วยกัน ซึ่งคนที่อ้างว่ามีธัมมะหรือมีพระเจ้าอย่าง เช่น พวกฟาริสีหรือพวกธรรมจารย์ในสมัยของพระเยซูนั้น มักจะไม่ค่อยสนใจคนเหล่านี้สักเท่าไหร่

            พระคำของพระเจ้าจึงได้กล่าวเตือนเราใน มธ.23:3 เหตุฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอน พวกท่านจงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่างได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่

พวกฟารสี พวกธรรมจารย์บางคนที่พอจะใช้ได้หน่อย ก็อาจจะให้เศษเงินหรือขนมสักชิ้นหนึ่งกับคนเหล่านี้แล้วก็เดินผ่านไป แต่สัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์ไม่ได้ให้เราทำอย่างนั้น เหตุเพราะผู้นำครอบครัวบางคน อาจจะตายเพราะถูกข่มเหง ผู้นำครอบครัวบางคนอาจจะต้องถูกเรียกตัวให้ออกไปทำสงคราม ร่วมกับทหารของโรม เป็นต้น

กลับมาพิจารณาในสภาพของสังคมไทยปัจจุบันของเราในเวลานี้ เราพบอะไรกันบ้าง ?

1)ผมพบว่าหญิงม่ายและเด็กกำพร้ามีมากขึ้นเพราะสถาบันครอบครัวนั้นล่มสลาย

2)ผมพบว่าปัจจุบันมีจำนวนอัตราหย่าร้างในเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น

3)ผมพบว่าพ่อแม่ตายไปเนื่องจากเป็นเอดส์ เด็กเลยถูกปล่อยทอดทิ้งเอาไว้นั้นก็มีมาก

4)ผมพบว่าผู้หญิงถูกกดขี่ข่มเหงหรือเด็กตัวเล็กๆถูกเอารัดเอาเปรียบในธุรกิจที่อยุติธรรม ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลาและอื่นๆอีกมากมาย

สัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนใน มธ.25:40 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่ง ในพวกพี่น้องของเรานี้ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไรก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วยและนี่คือพระเจ้าของเรา

ดังนั้นเราควรที่จะมีใจเมตตาสงสารเหมือนกับพระองค์ โดยให้เรานั้นสำแดงความรัก ความห่วงใยและช่วยพยุงคนเหล่านี้เอาไว้ให้เป็นรูปธรรม

ขอบคุณพระเจ้านะครับ ที่พี่ - น้องได้ร่วมมือกับคริสตจักรในการพยุงพี่ - น้องสมาชิกของคริสตจักรหลายๆคนเอาไว้ในความเชื่อของท่าน

แน่นอนพี่ - น้องมีบางคน บางครอบครัว  อาจจะทำให้เราต้องรู้สึกผิดหวังมาก แต่อย่างไรก็ตามพี่ - น้องก็ได้มีส่วนในการถือความเชื่อที่ถูกต้องนี้ไว้แล้ว

ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยสัจจะวาทะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า 2 ข้อและคำเตือนสติจากท่าน ศจ.มนูญศักดิ์

ให้ที่ประชุมเปิด มธ. 19:6 และให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นเนื้อเดียวกัน เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันท่านแล้วอย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงรวมพวกเราเข้าด้วยกัน ก็อย่าให้มนุษย์คนใดหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง หน้าที่การงาน เกียรติ ยศฐา บรรดาศักดิ์ มาพรากจากความเชื่อที่ถูกต้องนี้ไป

พระคำของพระเจ้าอีกข้อหนึ่งอยู่ใน อฟซ.5:30 ตรัสว่า เพราะว่าเราอวัยวะแห่งพระกายของพระองค์ ดังนั้นเราจะต้องช่วยดูแลซึ่งกัน อย่าคิดถึงตนเองแต่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่หรือกลับใจใหม่อย่างแท้จริงนั้น เรายิ่งต้องเสียสละตนเพื่อเขา หรือร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา

คำเตือนสติจาก ศจ.มนูญศักดิ์ ศบ. อาวุโส ของคริสตจักรใจสมาน ที่มีมาถึงพวกเราในเช้าวันนี้ คือ จงฟังสัจจะวาทะหรือพระวจนะของพระเจ้า แต่อย่าหยุดเพียงแค่นั้น ขอให้ท่านอุทิศตัวที่จะเป็นผู้ปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้าที่ท่านได้ยินด้วย แล้วท่านจะได้รับพระพร  ขอพระเจ้าอำนวยพระพรพี่ - น้องครับ

             

 

Green City