กล้าแคร์ กล้าแชร์ กล้าแปร

คำเทศนาเรื่อง กล้าแคร์ กล้าแชร์ กล้าแปร

ในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้า จากพระธรรม ลก. 10 : 25 - 37 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ลก. 10 : 25 - 37   แล้วอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ

และข้อพระคัมภีร์ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 33 - 35 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังอีกครั้งหนึ่งเชิญครับ ( ให้ที่ประชุมได้ร่วมใจกันอธิษฐาน )

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า นักวิทยาศาสตร์เขาสามารถที่จะจำแนกชีวิตของสิ่งที่มีชีวิตได้ในหลายๆรูปแบบ แต่มีรูปแบบหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นรูปแบบในการจำแนกที่น่าสนใจมากนั่นก็คือ เขาจำแนกสิ่งมีชีวิตตามความไวในการสนองตอบต่อสิ่งรอบข้าง

เช่น สัตว์ชั้นต่ำ มันจะไวในการสนองตอบต่อความต้องการของตัวเอง แต่สัตว์ชั้นสูงก็จะมี Degree ของความไวในการตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างมากขึ้นไปเป็นลำดับ  

ยกตัวอย่างเช่น “หอยทาก” เป็นต้น “หอยทาก” ซึ่งมีเปลือกหอยอยู่ภายนอก เปลือกหอยที่อยู่ภายนอก จะทำหน้าที่เป็นโครงกระดูกอยู่ภายนอก ครอบคลุมระบบประสาทซึ่งอยู่ภายในเอาไว้ทั้งหมด

“หอยทาก” มันจะเปิดตัวเองออกมา เพื่อจะมาเอาของจากข้างนอกเข้าไปกินข้างใน และเมื่อได้อาหารเรียบร้อยแล้ว มันก็จะรีบปิดตัวเองลงในทันที โดยไม่สนใจที่จะตอบสนองต่อสิ่งมีชีวิตรอบข้าง อาจจะกล่าวได้ว่า การเปิดตัวออกมาของ “หอยทาก” นั้นเป็นการเปิดตัวออกมาเพื่อประโยชน์ของตัวเองโดยแท้

แต่มนุษย์เรานั้นต่างจาก“หอยทาก”ครับพี่ - น้องที่รัก เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีโครงกระดูกอยู่ภายใน และให้ระบบสัมผัสของมนุษย์ทั้งหมดนั้นอยู่ภายนอก ซึ่งการทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาแบบนี้ ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์นั้นมีความไวต่อการตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง โดยเฉพาะความไวในการตอบสนองต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1อยู่ปลายข้อที่ 33 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา ”ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ?

ซึ่งนั่นหมายความว่า ชาวสะมาเรียคนนี้ เขาไวในการแคร์ชีวิตของคนอื่นซึ่งเป็นคนที่ถูกทำร้ายร่างกาย

ซึ่งนั่นหมายความว่า ชาวสะมาเรียคนนี้ เขาไวในการแคร์ชีวิตของคนอื่นซึ่งเป็นคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก

ซึ่งนั่นหมายความว่า ชาวสะมาเรียคนนี้ เขาไวในการแคร์ชีวิตของคนอื่นซึ่งเป็นคนที่กำลังเฉียดเป็นเฉียดตาย

ก่อนหน้าที่พี่ - น้องและผมจะมารู้จักกับพระเจ้า พระเยซู เราก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่แคร์กับเขาเหมือนกัน แต่เราแคร์ใครครับ ? แคร์เฉพาะตัวของเราเองหรือคิดถึงแต่ตัวของเราเองเป็นประการแรก จริงหรือไม่จริง

พอเราจะแคร์ใครขึ้นมาอีกสักคนหนึ่ง ซึ่งนอกจากตัวของเราแล้ว สมองของเราซีกไหนไม่ทราบได้ มันก็มักที่จะให้เรานั้นคิดถึงแต่คนในครอบครัวหรือไม่ก็คิดถึงคนในวงศ์ตระกูลและหรือไม่ก็คิดถึงวงศาคณาญาติของเราเป็นลำดับถัดไปใช่หรือไม่

หรือไม่อีกประการหนึ่งก็คือ พอที่เราเริ่มจะแคร์ใครสักคนหนึ่ง ซึ่งห่างไกลไปจากคนใกล้ตัวของเราสักหน่อยนึง เราก็มักที่จะมีคำถามๆ ขึ้นมาในความคิดหรือภายในจิตใจของเราว่า “ ถ้าเราให้ไปแล้วเราจะได้อะไร ”เราเคยเป็นแบบนี้กันไหมครับ

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่จำแนกสิ่งมีชีวิต โดยดูจากการสนองตอบสิ่งรอบข้างได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้ครับว่า ถ้าเราเป็นมนุษย์แล้วมีคิด แบบที่ผมได้แบ่งปันออกไปเมื่อสักครู่นี้ มนุษย์คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจาก“หอยทาก”ซึ่งมนุษย์คนนั้นอาจจะถูกจัดลำดับให้เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นต้นก็เป็นได้

พระคำของพระเจ้าใน 2 คร. 5 : 17 ตรัสว่าอย่างไรให้ที่ประชุมได้เปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไปนี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ชีวิตของเราเมื่อได้มีโอกาสมาสัมผัสกับชีวิตของพระเยซูแล้ว ชีวิตของเราทุกคนจะถูกสร้างขึ้นใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ดังนั้นชีวิตของพี่ - น้องและผมซึ่งเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะต้องไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต่อจากนี้ไปเราจะไม่คิดถึงเฉพาะตัวของเราเอง และหรือเราจะไม่คิดถึงเฉพาะคนใกล้ตัวเราแต่เพียงอย่างเดียว แต่เราจะสนใจและห่วงใยผู้อื่นด้วย

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา” ซึ่งนั่นหมายความ คริสเตียนควรที่จะเป็นคนที่ไวในการแคร์คนอื่น แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ใช่คนในครอบครัว หรือแม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ใช่คนในวงศ์ตระกูลและหรือไม่ว่าคนๆนั้นจะไม่ใช่วงศาคณาญาติของเราก็ตาม

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา” ซึ่งนั่นหมายความ คริสเตียนควรที่จะเป็นคนที่ไวในการช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แม้ว่าคนๆ นั้นเราอาจจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่นักก็ตาม

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา” ซึ่งนั่นหมายความ คริสตเตียนควรที่จะเป็นคนที่ไวในการที่จะให้โอกาสผู้อื่น แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นศัตรูกับเราก็ตาม

อาจจะกล่าวได้ว่า การเป็นคริสเตียน คือ การที่พระเจ้าทำให้ชีวิตของเรานั้น ไวในการที่จะสนองตอบต่อความทุกข์ยากลำบากของผู้อื่น หรือคนทั้งปวงก็เป็นได้ และผู้ที่ไวที่สุดต่อการตอบสนองของมนุษย์ ทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั่นเอง

ขอให้ที่ประชุมเปิดที่พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ลก. 9 : 16 - 17 และ ลก. 23 : 42 - 43 แล้วอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ลก. 9 : 16 - 17 ทำให้เราทราบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงไวในการที่จะสนองตอบต่อการเลี้ยงอาหาร ในฝ่ายร่างกายให้กับผู้ที่ติดตามพระองค์ในเวลาไม่นานนัก

ลก. 23 : 42- 43 ทำให้เราทราบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงไวในการที่จะสนองตอบต่อฝ่ายจิตวิญญาณของโจรบนไม้กางเขน ทำให้เขานั้นได้รับความรอด

พี่ - น้องที่รักครับ คำตรัสนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นถึงความเป็นสุดยอดของความไวในการตอบสนองต่อมนุษย์ ที่ปรากฏอยู่ในชีวิตของพระเยซู เพราะฉะนั้นขอให้เรานั้นไว ในการในการที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เหมือนกับชาวสะมาเรียผู้ใจคนดีคนนี้ หรือเหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 34 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ประการที่ 2 คือ กล้าแชร์กล้าแบ่งปัน

พี่ - น้องกรุณาฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า ความเมตตาแท้นั้น ย่อมนำไปสู่พฤติกรรมที่กรุณาเสมอ

ความเมตตาแท้นั้นหาใช่ความรู้สึกภายในใจแต่เพียงอย่างเดียว

ความเมตตาแท้นั้นหาใช่การยืนดูคนที่บาดเจ็บแล้วรำพึงรำพันภายในจิตใจว่า“ โถน่าสงสารเสียจริงๆขอให้มีใครมาช่วยเขาที ”

            จากคำอุปมานี้ทำให้เราทราบว่า ความเมตตาแท้นั้น คือ การมองไปที่คนบาดเจ็บหรือมองไปที่คนตกทุกข์ได้ยาก พร้อมๆกับมือที่จะต้องล้วงลงไปในกระเป๋าด้วย

            พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เมื่อชาวสะมาเรียคนนี้เขาเห็นคนถูกทำร้าย ร่างกายของเขานั้นต้องนอนสลบไสลอยู่ข้างถนน ชาวสะมาเรียคนนี้ เขาได้เดินเข้าไปหา และเขาได้ทำการตบแต่งบาดแผลให้โดยใช้น้ำมันกับเหล้าองุ่น แล้วจึงอุ้มคนที่ถูกทำร้ายร่างกายนั้นขึ้นไปบนหลังลาของตน และนำชายที่ถูกทำร้ายร่างกายนั้น มาพักผ่อนอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆละแวกนั้นและคอยดูแล ( จบหรือยังครับพี่ - น้อง )

            วันต่อมา........ก่อนที่ชาวสะมาเรียใจดีคนนี้จะจากไปทำธุรกิจของตน ชาวสะมาเรียคนนี้เขาได้ควักเงินจำนวน 2 เหรียญเดนาริอัน ( ซึ่งคิดเป็นค่าแรงในการทำงานได้ถึง 2 วัน ) ให้กับเจ้าของโรงแรมแห่งนี้เพื่อเป็นค่ามัดจำ ( จบหรือยังครับพี่ - น้อง ) ยังไม่จบเท่านี้ พระคำของพระเจ้ายังบอกกับเราอย่างชัดเจนต่อไปอีกว่า ชาวสะมาเรียคนนี้ได้บอกกับเจ้าของโรงแรมว่า“จงดูแลคนป่วยนี้ให้ด้วย เมื่อเขากลับมาจากเสร็จภารกิจเขาจะจ่ายเพิ่มให้”

            ตกลงชายคนนี้เขาได้แชร์อะไรออกไปบ้างครับพี่ - น้อง ? เขาได้แชร์ทรัพย์สินหรือสิ่งของที่เขามี ให้กับชายแปลกหน้าคนนี้ นั่นก็คือ น้ำมัน เหล้าองุ่น เงินและลา

เขาได้แชร์อะไรอีกครับพี่ - น้อง ? เขาได้แชร์ชีวิตของเขานั่นก็คือ แรงกายและเวลาให้กับชายหน้าแปลกคนนี้

สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่าชีวิตคริสเตียนของเราเองก็เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รัก ที่เราเองนั้นจะต้องกล้าแชร์สิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกไปจากชีวิตของเรา

ถ้าพี่ - น้องยังไม่กล้าที่จะแชร์สิ่งต่างๆเหล่านี้ออกไป นั่นก็ท่ากับว่าชีวิตของพี่ - น้องยังไม่ได้มาสัมผัสกับชีวิตของพระเยซูอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนเราไม่เพียงแต่จะแชร์ทรัพย์สินเงินทองหรือสิ่งของเท่านั้น แต่เรายังจะต้องแชร์ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้กับเขาด้วย

พี่ - น้องยังจำเหตุการณ์ระทึกขวัญในช่วงปลายปี 2004 ที่เกิด “Tsunami” ขึ้นในประเทศไทยและในอีกหลายๆ ประเทศได้ไหมครับ

เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุทำให้องค์การ องค์กร หน่วยงานของคริสเตียนและรวมทั้งคริสตจักรต่างๆในประเทศไทย ต่างมิได้เพียงแค่รวบรวมทรัพย์สินเงินทองหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นเท่านั้นนะครับ แต่พวกเขายังได้นำข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเข้าไปถึงคนเหล่านั้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่ขัดสนหรือมีความยากจนในฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างมาก

ซึ่งเราสังเกตจากอะไร ? เราสังเกตจากการที่คนไทย ตั้งแต่ในสมัยบรรพชนหรือในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ที่คนไทยต่างพากันวิ่งไปเสาะหรือแสวงหาพระที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจาก ไม้ หรือไม่ก็สร้างขึ้นมาจากอิฐ หิน ปูน ทราย แล้วก็พากันมาถือครอง ซึ่งเป็นภาพที่สะท้อน ให้เราได้เห็นถึงความขัดสนหรือความหิวกระหาย ในฝ่ายวิญญาณของคนในสังคมไทยเป็นอย่างมาก

ผมอยากที่จะให้ที่ประชุม ได้เปิดไปที่พระคำของพระเจ้าไปที่หนังสือ ยน. 4 : 14 และ ยน. 6 : 35 พระคำของพระเจ้าตรัสว่าอย่างไรให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ “ แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ ” ( ยน. 4 : 14 ) “ พระเยซูตรัสกับเขาว่าเราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวผู้ที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย ” ( ยน. 6 : 35 )

พระคำของพระเจ้าได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน และหนักแน่นมั่นคงว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้มารู้จักกับพระองค์อย่างแท้จริง เขานั้นจะไม่ต้องวิ่งหาพระอื่นใดอีกเลย วันนี้มีพี่ - น้องคนไหนครับ ที่ได้มารู้จักกับองค์พระเยซูคริสตเจ้าแล้วยังต้องวิ่งตามหาพระเยซูองค์ที่ 2 พระเยซูองค์ที่ 3 อีก มีไหมครับ ? ไม่มีนะครับขอบคุณพระเจ้า พระเยซูองค์เดียวก็เพียงพอแล้วพี่ - น้องที่รัก ที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตหลังความตายของพวกเรา

ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รัก เป็นเหตุทำให้คริสเตียนจะต้องกล้าที่จะแชร์หรือกล้าที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ ให้กับคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า ได้มารู้จักกับพระองค์ เพื่อที่เขาจะได้ไม่หิว หรือเพื่อที่เขาจะไม่ต้องกระหายอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก เป็นเหตุทำให้คริสเตียนจะต้องกล้าที่จะแชร์หรือกล้าที่จะแบ่งปันในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ เพื่อคนที่ถูกมาร ซาตานวิญญาณชั่วมารบกวน หรือผู้ที่ถูกวิญญาณผีโสโครก ได้เข้ามาเบียดเบียนจะได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ดังนั้นให้เรามีใจกล้าเหมือนกับชาวสะมาเรียผู้ใจดีในคำอุปมานี้

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 อยู่ตอนต้นของข้อที่ 33 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง ”ก่อนที่ผมจะบอกกับพี่ - น้องว่าเราพบอะไรในประการที่ 3 นี้ ในเบื้องต้นผมอยากที่จะให้พี่ - น้องได้เข้าใจก่อนว่าโดยแท้จริงแล้วชาวสะมาเรียนั้น เขาจะไม่คบหรือเขาจะไม่สุงสิงกับใคร นอกจากพวกของตนอง

ดังนั้นคำถามที่ว่า จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันนั้น เราพบอะไร ประการที่ 3 คือ เราพบคนที่กล้าแปรเปลี่ยน

พี่ - น้องที่รักครับ ในคำอุปมานี้ทำให้เราทราบว่า ชาวสะมาเรียคนนี้ได้กล้าแปรเปลี่ยนพฤติกรรมไปจากวัฒนธรรมเดิมๆของตน คือเขาไปสนใจคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตน

เขากล้าที่จะแปรเปลี่ยนจากคนที่ไม่มีภาระเป็นคนที่มีภาระ

เขากล้าที่จะแปรเปลี่ยนจากคนที่ไม่เดือดร้อนให้เป็นคนเดือดร้อน

เขากล้าที่จะแปรเปลี่ยนหมายกำหนดการต่างๆ ในการทำธุรกิจการค้าของตน

เขากล้าที่จะแปรเปลี่ยนในสิ่งต่างๆเหล่านี้ เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องนั่นก็คือ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  

เขากล้าที่จะแปรเปลี่ยนจากประเพณีนิยมของตน ที่เคยทำต่อๆกันมา โดยเอาชายที่บาดเจ็บขึ้นบนหลังลา

เขากล้าที่จะแปรเปลี่ยนสิ่งต่างๆเหล่านี้ เพื่อที่จะทำในสิ่งที่ประเสริฐ นั่นก็คือ ช่วยเพื่อนมนุษย์ให้ได้รับความรอด

เขากล้าที่จะแปรเปลี่ยน โดยการรับคำด่า หรือคำเย้ยหยันจากชาวสะมาเรียบนท้องถนนว่า เขาเป็นไอ้สะมาเรียนอกคอก

ผู้เชื่อหลายคนที่ได้อ่านคำอุปมาในเรื่องนี้แล้วบอกกับผมว่า พระเยซูทรงอุปมาเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งมาก พี่ - น้องที่รักครับ การที่พระเยซูทรงอุปมาในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีหรือได้อย่างลึกซึ้งนั้น เหตุเพราะมันเป็นชีวิตของพระองค์เอง

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกล้าที่จะแปรเปลี่ยนที่พำนักอาศัย คือ จากสวรรค์มาสู่โลกา

องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงกล้าแปรเปลี่ยนศักดิ์ศรีของพระองค์ จากพระบิดามาเป็นพระบุตร พระเยซู

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกล้าแปรเปลี่ยนจากผู้ชอบธรรมเป็นคนบาป พระองค์จึงยอมไปที่ไม้กางเขน

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกล้าแปรเปลี่ยนสภาพกายของพระองค์ จากกายอมตะมารับสภาพกายมนุษย์

องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงกล้าแปรเปลี่ยนจากผู้มั่งคั่ง เป็นผู้ขัดสน ขัดสนขนาดไหน ? มธ. 8 : 20 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “บุตรมนุษย์จะขัดสนขนาดที่บุตรมนุษย์ยังไม่มีที่จะวางศีรษะ”

นอกเหนือจากนี้แล้วพี่ - น้องที่รัก องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราพระองค์ยังทรงกล้าแปรเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรหลายต่อหลายอย่าง

พี่ - น้องและผมในฐานะผู้ที่เป็นคริสเตียนหรือเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราต้องกล้าที่จะแปรเปลี่ยนเหมือนกับพระองค์ หรือกล้าที่จะแปรเปลี่ยนเหมือนกับชาวสะมาเรียนคนนี้ ( อาเมนไหม )

คริสเตียนต้องกล้าที่จะเดินออกจากคริสตจักร เพื่อไปประกาศในที่ๆ ข่าวประเสริฐนั้นยังไปไม่ถึง

คริสเตียนต้องกล้าที่จะเข้าไปอยู่กับคนแปลกหน้า หรือคนหน้าแปลก หรือคนที่ไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับสังคมเดียวกับเรา

คริสเตียนต้องกล้าที่จะเสี่ยง กับสถานการณ์การเงินภายในครอบครัวของตนเองให้ไม่มั่นคงเพื่อที่จะสนับสนุนงานของพระเจ้า

            คริสเตียนต้องกล้าที่จะสนับสนุนทางการเงิน ให้กับคนที่มีภาระใจ หรือคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้เขานั้นเข้ามาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์

คริสเตียนต้องกล้าที่จะอ่านพระวจนะคำของพระเจ้า ให้คนอื่นฟังด้วยเสียงดัง แต่ก่อนที่เราจะอ่านให้คนอื่นฟัง เราควรที่จะอ่านให้ตัวเองนั้นได้ฟังก่อน

คริสเตียนต้องกล้าที่จะเชิญคนมาโบสถ์หรือมาคริสตจักร ซึ่งโดยปกติแล้วเราเชิญเขาก็ไม่มาอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเราเชิญแล้วเขาไม่มา เราก็ไม่เสียอะไรแต่ถ้าเขามาล่ะ

คริสเตียนต้องกล้าจากคนที่ไม่กล้าหรือไม่เคยพูด เรื่องพระเยซูให้คนอื่นฟัง เป็นคนกล้าที่จะประกาศหรือเป็นพยานให้เขาฟังในสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำในชีวิตของเรา

คริสเตียนต้องกล้าที่จะละทิ้งความสะดวกสบาย ที่เราพึงมีพึงได้เพื่อพระราชกิจของพระเจ้า เหมือนกับพวกมิชชั่นนารีในประเทศต่างๆ ที่เขากล้าเผชิญความว้าเหว่เพราะทำงานห่างไกลจากพี่ - น้องหรือเพื่อนร่วมชาติ

คริสเตียนต้องกล้าที่จะเชิญชวน ให้คนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้านั้น ออกจากความเชื่อที่ไม่สมบูรณ์มาสู่ความเชื่อที่สมบูรณ์ เพราะพระคำของพระเจ้าในหนังสือยน. 14 : 6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา”

ดังนั้นคริสเตียนต้องกล้าที่จะเชิญชวนผู้คนในสังคม ที่ยังอยู่ในความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมาสู่ความเชื่อทีถูกต้อง

อีกทั้งคริสเตียนต้องกล้าที่จะต้องแปรเปลี่ยนค่านิยมต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่น ค่านิยมการยอมเสียสาวในวันลอยกระทงหรือในวันวาเลนไทน์ เป็นต้น

รวมทั้งคริสเตียนต้องกล้าที่จะบอกกับสังคมว่า สิ่งนี้มันเป็นความบาปหรือมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และคริสเตียนต้องกล้าที่จะแปรเปลี่ยน อะไรต่อมิอะไรอีกหลายๆอย่างและนี่คือพระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงพี่ - น้องในเช้าวันนี้

สรุป พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้คือ

1.คริสเตียนต้องไวในการที่จะแคร์คนอื่น

2.คริสเตียนต้องกล้าที่จะแชร์ในสิ่งที่มีเพื่อคนอื่นและ

3.คริสเตียนต้องกล้าที่จะแปรเปลี่ยน เพื่อทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

           

           

           

 

Green City