ในยามวิกฤติเศรษฐกิจคริสตชนควรจะทำอย่างไรดี

บทความเรื่อง

ในยามวิกฤติเศรษฐกิจคริสตชนควรจะทำอย่างไรดี

แบ่งปันพระพรโดย ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน

ทั่วอเมริกาคนนับแสนกำลังต้องออกจากบ้านของตัวเอง เพราะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าผ่อนค่าจำนองได้ การผิดนัดชำระหนี้และการถูกยึดบ้าน เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากขณะที่ราคาบ้านก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ “ ซับไพร์ม ” แล้วก็ยังมาถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยวิกฤติเศรษฐกิจ ตลาดสินเชื่อทั่วโลกคราวนี้ถึงคราวสั่นสะเทือนอีกครั้งหนึงอย่างแน่นอน เชื่อว่าก่อนที่วิกฤติกาลนี้จะจบยอดหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้อาจสูงถึงสองสามพันล้านเหรียญ และเงินหลักล้านเหรียญต้องหายไปจากระบบเศรษฐกิจในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้

ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ในยามวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ คริสตชนควรที่จะดำเนินชีวิตอย่างไรดี ?

หากพี่ - น้องเชื่อในพวกนักเทศน์ ที่ชอบเทศน์ “ พระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่ง ” หมายถึง คำสอนของคริสตชนบางกลุ่ม ที่ชอบสอนว่าเชื่อพระเยซูแล้วจะร่ำรวยและไม่มีปัญหาด้านการเงิน พี่ - น้องก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก พี่ - น้องเพียงแค่อธิษฐานและถวายทรัพย์แล้วพระเจ้าก็จะเทพระพรลงมาเหนือชีวิตคงพี่ - น้องเอง

คริสตชนหลายคนถือว่า คริสตศาสนาเป็นชีวิตที่สะดวกสบายและพระพรของพระเจ้าก็จะต้องเป็นพระพรแห่งการบริโภคนิยมเป็นที่ชัดเจน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเราได้ลืมไปแล้วว่าคริสต์ศาสนานั้น มักจะขัดแย้งกับกระแสสังคมและมักจะไม่เติบโตเฟื่องฟูในยามที่สังคมมั่งคั่งร่ำรวย แต่มักจะเจริญในยามศีลธรรมและเศรษฐกิจล่มสลาย

ตัวอย่างเช่น หลังจากที่อนารยะได้เข้ายึดกรุงโรมเมื่อครั้งโบราณนั้น บาทหลวงจากไอร์แลนด์ ได้ช่วยธำรงอารยะตะวันตกไว้ โดยการก่อตั้งอารามคัดลอกและเก็บรักษาพระคัมภีร์ทั้งงานเขียนคลาสสิคอื่นๆ

หรือคริสตชนในอาณาจักรโรมศตวรรษที่สาม เมื่อภัยพิบัติได้คร่าชีวิตผู้คนในเมืองต่างๆ คนมั่งมี ซึ่งรวมทั้งพวกหมอ ก็ได้หนีไปยังถิ่นฐานของตัวเองละทิ้งผู้ป่วยให้เผชิญชะตากรรมโดยลำพัง ก็ได้พวกคริสตชนเนี่ยแหละที่ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อ เพราะคริสตชนเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนถูกสร้างตามพระฉายของพระเจ้า พวกเขาจึงยอมเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองมาดูแลคนเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลาย คริสเตียนมากมายจึงต้องสละชีวิตตนเองถึงตาย แต่คริสตจักรของพระคริสตก็ได้เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็งบนรากฐานของพวกคนเหล่านี้

ผลก็คือ คริสต์ศาสนาได้กลายเป็นความเชื่อและความศรัทธา ของทั้งอาณาจักรโรมัน ไม่ใช่เพราะจักรพรรดิคอนสแตนตินประสงค์อย่างนั้น แต่เพราะพระองค์ไม่สามารถต้านทานกระแสได้ บรรดาสตรีชาวโรมัน ต้องหลั่งไหลเข้ามาเชื่อและศรัทธาในคริสต์ศาสนา เพราะคริสตจักรได้ทำให้พวกเธอนั้นมีศักดิ์ศรีและให้เกียรติพวกเธออย่างเหมาะสม ในฐานะการเป็นลูกของพระเจ้าอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ศาสนาอื่นของโรมในขณะนั้นได้ปฏิบัติต่อพวกเธอ ซึ่งสิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในทุกวันนี้ทางโลกส่วนใต้ ที่มีสตรีมากมายเข้ามาเชื่อและศรัทธาในคริสต์ศาสนา เพราะผู้นำคริสตจักรได้สั่งสอนให้พวกผู้ชายเลิกเที่ยวบาร์และอยู่บ้าน

วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ส่วนใหญ่เลยนั้นมีสาเหตุมาจากความล้มเหลวทางจริยธรรม พวกผู้นำทางการเงินในวอลสตรีทและสถาบันการเงินใหญ่ๆ ของประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเข้าถึงข่าวสารข้อมูลและรู้ถึงทิศทางของปัญหาเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากมีความโลภที่อยากจะได้รับผลประโยชน์กันอย่างสูงๆ จึงได้ทำธุรกรรมต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูง ปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งก็ทำให้พวกเขาสามารถร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วแต่แล้วในที่สุดฟองสบู่ก็แตก

ในท่ามกลางวิกฤติเช่นนี้ เราคงได้เห็นเพื่อบ้านบางคนหรือตัวเราเองเสียบ้าน เสียงานและมูลค่าทรัพย์สินลดลง วิกฤตนี้กระทบชีวิตคนเป็นล้านๆ คน คริสเตียนควรมองเหตุการณ์น่าเศร้านี้ว่าเป็นโอกาสที่จะสำแดงความรักของคริสเตียน โดยการช่วยเหลือผู้ที่สูญเสีย เราอาจต้องเป็นพยานต่อโลกว่าเมื่อวิกฤติมาถึง คริสเตียนเป็นพวกแรกที่มีเมตตาและพึ่งพาได้ ให้เราได้คิดถึงคริสตจักรที่มีอยู่ในพระธรรมกิจการบทที่ 4 ที่พวกคริสเตียนและสมาชิกได้แบ่งปันทุกสิ่งที่ตนมีแก่ผู้อื่นที่ขัดสน

ความจริงที่น่าเศร้าเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของคนเราก็คือ พวกเราหลายคนไม่เคยแสวงหาพระเจ้าจนกว่าจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเสียก่อน ตอนนี้ไงล่ะ ? ที่มีเพื่อนร่วมชาติของเรามากมาย นับเป็นแสน เป็นล้านคน ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากด้วยเพราะพิษของเศรษฐกิจโลก ในสถานการณ์อย่างนี้เมื่อเขาถามหาว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน ? ผมหวังเขาคงจะได้พบกับความรักของพระเจ้า ผ่านทางความรักของผู้เชื่อหรือคริสเตียน ซึ่งเป็นพระกายของพระคริสต์ไม่มากก็น้อยน่ะครับ

Green City