ศิลปะของการเป็นผู้ให้

คำเทศนาเรื่อง ศิลปะของการเป็นผู้ให้

        มก.8 :1-10 คราวนั้น เมื่อประชาชนพากันมามากมายอีก ก็ไม่มีอาหารกิน พระเยซูจึงทรงเรียกเหล่าสาวกตรัสแก่เขาว่า 2 "เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน 3 ถ้าเราจะให้เขากลับไปบ้านเมื่อยังอดอาหารอยู่ เขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทาง เพราะว่าบางคนมาไกล" 4 เหล่าสาวกจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ในถิ่นทุรกันดารนี้จะหาอาหารให้เขากินอิ่มได้ที่ไหน" 5 พระองค์ตรัสถามเขาว่า "พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน" เขาทูลว่า "มีเจ็ดก้อนเจ้าข้า" 6 พระองค์จึงตรัสสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนนั้นมา โมทนาพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกให้เขาแจก เหล่าสาวกจึงแจกให้ประชาชน 7 และเขามีปลาเล็กๆอยู่บ้าง พระองค์จึงถวายคำสาธุการ แล้วสั่งเหล่าสาวกให้เอาปลานั้นแจกด้วย 8 คนทั้งปวงได้รับประทานจนอิ่ม และเศษอาหารที่เหลือนั้นเขาเก็บได้เจ็ดตะกร้า 9 คนที่รับประทานนั้นประมาณสี่พัน แล้วพระองค์ตรัสสั่งให้เขาไป 10 ในทันใดนั้นพระองค์ก็เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์มาถึงเขตเมืองดาลมานูธา

       พี่น้องที่รักครับ มนุษย์ทุกคนต่างมีความปรารถนาอย่างหนึ่งในชีวิต นั่นก็คือการมีความสุข และหนทางหนึ่งที่จะนำมาซึ่งความสุขในชีวิตของมนุษย์นั่นก็คือ การให้

กจ.20:35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

        พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงเป็นผู้ตั้งต้นกระทำการในเรื่องนี้เอาไว้เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลาย อีกทั้งพระองค์ทรงตรัสเอาไว้ด้วยว่าการให้เป็นเหตุให้มีความสุขใจยิ่งกว่าการรับ

        พี่น้องทราบไหมครับว่า เมื่อเราเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต เรามีวิญญาณแห่งการเป็นผู้ให้นี้ติดตามตัวมาด้วยโดยอัตโนมัติ

ดังนั้นเมื่อคริสตจักรมีกิจกรรมอะไรก็ตาม เช่น เมื่อคริสตจักรมีเรื่องของการสงเคราะห์ช่วยเหลือ มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เราจะเห็นพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรต่างมีส่วนในการถวายพิเศษเพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือหรือพี่น้องมีส่วนที่จะถวายเพื่อแผ่นดินของพระเจ้าเพื่อในอาณาจักรของพระองค์

        แม้ว่าการให้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่เนื่องจากการทำดีเป็นสิ่งที่ทวนกระแส การให้หรือการทำดีจึงเป็นเหมือนกับการเดินขึ้นภูเขาไม่ใช่เดินลงภูเขา การเดินขึ้นภูเขาเหนื่อยไหมครับ ? จะทำดีโดยการเป็นผู้ให้ ก็ต้องเหนื่อย ก็ต้องทน ก็ต่อการถูกต่อต้าน ก็ต้องถูกคำครหานินทาสารพัด

        ด้วยเหตุนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้ทรงหนุนใจธรรมิกชนใน กท.6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดีเพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้วเราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร ซึ่งนั่นหมายความว่า ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟองน้ำลายในปากของใคร เพราะฉะนั้นให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมต่อไป อย่าหยุดการให้ อย่าหยุดการทำความดี เพราะสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันมีบำเหน็จรางวัลรอคอยเราอยู่

        พี่น้องที่รักครับ “การให้” นับว่ามีความสุขแล้ว แต่การให้อย่างมีศิลปะ การให้อย่างมีศิลปะคือรู้ว่าจะให้กับใคร ให้เมื่อไหร่ ให้เวลาไหน ให้เท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรามีความสุขในการเป็นผู้ให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

                ศิลปะของการเป็นผู้ให้และก่อให้เกิดความสุข ประการที่ 1

        มก.8:1-2 คราวนั้น ก็ไม่มีอาหารกิน พระเยซูจึงทรงเรียกเหล่าสาวกตรัสแก่เขาว่า 2 "เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน

        คำว่า เมื่อประชาชนพากันมามากมายอีก ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเขาเคยมาที่นี่กันแล้วและวันนี้มาอีก ซึ่งนั่นหมายความว่าคนหน้าเดิมๆที่เห็นเมื่อวาน...วันนี้มาอีก

        และด้วยจำนวนคนที่มีมากและอยู่ด้วยกันมาถึง 3 วัน จึงทำให้อาหารมีไม่พอกิน องค์พระเยคริสต์ทรงซูทอดพระเนตรเห็นแล้วจึงสงสาร จึงมีใจอยากให้พวกเขา

        สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า ในเรื่องของการให้ไม่มีใครบังคับใครได้ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในตอนนี้ที่ไม่มีใครที่จะไปบังคับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ว่าพระองค์ต้องให้พวกเขานะ

        แต่ด้วยว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น “ทรงมีใจเมตตาสงสาร” พี่น้องเห็นถึงศิลปะของการให้ที่มีความสุขหรือยังครับ ? นั่นก็คือ ผู้ให้ต้องให้จากใจ

        พี่น้องเคยเห็นการบริจาคทาง TV ไหมครับ ? การเปิดรับบริจาคทาง TV มักจะได้ยอดรับบริจาคเป็นจำนวนมาก แต่นั่นไม่ได้ทำด้วยใจสงสารแต่เป็นการให้เพื่ออวด

        พี่น้องเคยเห็นข้าราชการลงไปช่วยชาวบ้านเอาถุงยังชีพไปให้ตอนประสบเหตุการณ์ภัยทางธรรมชาติไหมครับ ? เป็นการให้เพราะลงไปทำหน้าที่ตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง

        พี่น้องเคยเห็นการเป็นผู้ให้แบบหวังเคลมเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงไหมครับ ?

        พี่น้องเคยเห็นคนทำบุญใส่ซองผ้าป่า กฐินไหมครับ ? ต้องจำยอมรับซองมาเพื่อใส่ 20 บ. นี่คือการให้ด้วยใจไม่ยินดีนึกเสียดาย

        หลายปีที่ผ่านมามีการให้ตามกระโซเชียลด้วย โดยมีการเอาเรื่องราวของบุคคลคนนั้น บุคคลคนนี้มาลงในเฟซบุ๊คหรือลงใน Tik Tok ก็ให้เกิดการให้ตามกระแสตามมาอย่างกรณีลุงพลเป็นต้น

        สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องอย่างตรงไปตรงมานั่นก็คือว่า คนที่ให้ด้วยท่าทีหรือให้โดยมีทัศนคติไม่ถูกต้อง 1) เขาจะไม่สามารถลิ้มรสแห่งความสุขจากการให้ได้เลย 2) นอกจากเขาจะไม่ได้รับความสุขแล้ว บางครั้งกลับนำความทุกข์อย่างยิ่งมาให้ชีวิตด้วย Ex.การบริจาคของท่าน รอง ผบ.ตร. ท่านหนึ่ง เป็นต้น

        ดังนั้นถ้าพี่น้องอยากให้ การให้ของพี่น้องนั้นมีความสุขลึกๆภายในจิตใจ พี่น้องจะต้องให้ด้วยใจที่เมตตาสงสารเหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา     

                ศิลปะของการเป็นผู้ให้และก่อให้เกิดความสุข ประการที่ 2

        2 คร.9:7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี

        คลส.3:23 ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์

        พระคำของพระเจ้าใน 2 คร.9:7 บอกให้เราทราบถึงศิลปะของการเป็นผู้ให้ ซึ่งไม่เพียงแต่ให้จากใจเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่ให้ต้องให้ด้วยความเต็มใจและมิใช่ด้วยความนึกเสียดายและหรือมิใช่ด้วยการฝืนใจ แต่ถ้าใครมีท่าทีที่ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่

        คือ ไม่เต็มใจหรือนึกเสียดายและหรือฝืนใจก็ไม่ต้องให้ เพราะถึงพี่น้องให้ไปด้วยท่าทีที่ไม่ถูกต้อง ถึงให้ไปพี่น้องก็ไม่ได้รับพระพร

        พระคำของพระเจ้าใน คลส.3:23 ได้หนุนใจเราแบบนี้ว่า เมื่อพี่น้องมีโอกาสที่จะเป็นผู้ให้แล้ว ให้พี่น้องคิดว่าอย่าทำเรื่องนี้ต่อหน้ามนุษย์ แต่ให้พี่น้องคิดว่าทำเรื่องนี้ต่อหน้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า

        ต่อหน้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า เราจะให้แบบธรรมดาหรือสิ่งที่ดีที่สุด ต่อหน้าคนของพระเจ้าล่ะ เราจะให้แบบธรรมดาหรือสิ่งที่ดีที่สุด นี่คือศิลปะแห่งการให้ที่จะทำให้เรานอกจากจะมีความสุขแล้วเราจะได้รับพระพรจากพระเจ้าด้วย

                 ศิลปะของการเป็นผู้ให้และก่อให้เกิดความสุข ประการที่ 3

        มก.8:2-3 "เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน ถ้าเราจะให้เขากลับไปบ้านเมื่อยังอดอาหารอยู่ เขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทาง เพราะว่าบางคนมาไกล"

        พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าผู้คนมากมายอยู่กับองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามา 3 วันแล้ว อาหารที่กินก็หมดแล้ว ถ้าให้เขากลับไปกินที่บ้าน ระหว่างทางอาจจะมีบางคนหมดแรงหรือไม่ก็เป็นลมไปเสียก่อนและหรือเสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับบ้านก็ได้

        เป้าหมายของการให้ในเรื่องนี้คือ ให้เขากินเพื่อเขาจะได้มีแรงกลับบ้าน ไม่ใช่ให้เขากินอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ให้เขามาฟังพระเยซูคริสต์เทศนาสั่งสอนแล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะต้องมารับผิดชอบด้วยการเลี้ยงดูอาหารการกินให้กับพวกเขาทุกวัน

        เพราะฉะนั้นผู้ให้ต้องให้อย่างมีเป้าหมาย รู้ว่าใครควรได้รับอะไร อย่างไร บางคนควรให้ทาน บางคนควรให้ทุน บางคนควรให้คำแนะนำ บางคนควรให้คำสอน บางคนควรให้กำลังใจ

        เพราะ Needs หรือความต้องการของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน นี่เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการให้และการให้อย่างนี้จะทำให้เรามีความสุข

                ศิลปะของการเป็นผู้ให้และก่อให้เกิดความสุข ประการที่ 4

        ยน.6:26 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม

        พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนที่มาหาองค์พระเยซูคริสต์เจ้าบางคนไม่ได้มาเพื่อจะได้รับความรอด หลายคนไม่ได้เพราะจะฟังถ้อยคำของพระเจ้า หลายคนมาเพื่ออยากจะเห็นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทำเรื่องหมายสำคัญการอัศจรรย์ บางคนมาเพราะมีอาหารให้กิน

        ปัจจุบันนี้มีหลายคริสตจักรมีการจัดประกาศกลางแจ้งในบางพื้นที่แล้วมีการโฆษณาเชิญชวนให้คนไปร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก นอกจากมีอาหารเลี้ยงแล้ว ปัจจุบันตอนจบมีการจับรางวัลจักรยาน ตู้เย็น จักรยานยนต์ จับทองคำ พี่น้องคิดว่าแรงจูงใจที่เขามาเพื่อความรอดหรือมากินและเพื่อของรางวัลครับ

        คนไม่เชื่อพระเจ้าพูดว่าไงพี่น้องทราบไหมครับ ? คริสเตียนมีใจเมตตาสงสารมาก พวกคริสเตียนเขารักที่จะให้  พวกคริสเตียนนี้จึงหลอกง่าย ด้วยเหตุนี้เราจึงตกเป็นเครื่องมือในการถวายของคนไม่เชื่อ และคริสเตียนจึงตกเป็นเครื่องมือในการถูกหลอกให้ถวายจากผู้นำในคริสตจักรหลายที่หลายแห่ง

        พี่น้องทราบไหมครับว่า คริสตจักรในทวีปอเมริกา คริสตจักรในทวีป Africa มีคำสอนแบบนี้มากรวมถึงคริสตจักรในประเทศไทยด้วย

        กลับมาที่พระคำของพระเจ้า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรู้ว่าใครมาหาพระองค์แบบไหนอย่างไร คำถามคือว่า องค์พระเยซูคริสต์แจกจ่ายอาหารให้กับทุกคนไหมครับ ?

        มธ.5:45-48 ทำดังนี้แล้ว ท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม

        46 แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ 47 ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ 48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ

        พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงทราบว่าใครมาหาพระองค์ด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม

        แต่พระองค์ก็ทรงแจกจ่ายให้กับทุกๆคนอย่างเหมาะสมและให้อย่างทั่วถึง ให้กับทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบด้วย ให้ทั้งกับคนอธรรมและกับคนชอบธรรมด้วย

        ถ้าเราให้กับคนที่ชอบ ส่วนคนที่ไม่ชอบไม่อยากให้ เราก็ไม่ต่างอะไรจากคนต่างชาติ เราไม่ต่างอะไรจากคนกินบ้านกินเมืองเพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการมีความสุขจากการให้ต้องมีท่าทีแบบนี้ นี่คือเส้นทางของคนที่จะเป็น Saint หรือนักบุญ

                ศิลปะของการเป็นผู้ให้และก่อให้เกิดความสุข ประการที่ 5

        1 พกษ:12-16 และนางตอบว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย" 13 และเอลียาห์บอกนางว่า "อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า 14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า "แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน" 15 นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน 16 แป้งในหม้อก็ไม่หมดน้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์

        พระคำของพระเจ้าในตอนนี้บันทึกถึงหญิงม่ายที่อยู่ในช่วงของการกันดารอาหาร เธอบอกกับคนของพระเจ้าว่า เธอมีอาหารเพียงมื้อสุดท้าย ทำกินกับลูกชายมื้อนี้แล้วก็คงจะตาย

        แม้เธอจะมีอาหารกินเพียงมื้อเดียวแล้วจะตายเธอก็ยังสามารถให้กับคนอื่นๆได้ พี่น้องที่รักครับ ถ้าเราอยากมีความสุขกับชีวิตในการเป็นผู้ให้ เราจะต้องไม่อ้างอุปสรรคใดๆ เราจะต้องไม่มีแม้ มีแต่ มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

        คนของพระเจ้าพูดว่า ให้แล้วเจ้าจะมีมากขึ้น ให้จากสิ่งที่มีน้อยอยู่แล้วและเจ้าจะมีมากขึ้น แต่เงื่อนไขคือทำขนมปังก้อนเล็กๆให้คนของพระเจ้ากินก่อนและเธอก็เชื่อฟัง ผลที่ตามมาคือ ตลอดช่วงเวลาของการกันดารอาหารครอบครัวนี้ไม่ขาดแคลนอาหารเลย อาหารและน้ำมันในครัวเรือนของเธอไม่พร่องเลย นี่คือตัวอย่างของการไม่อ้างอุปสรรคในการให้

        คริสตจักรสมุทรสงครามได้ชื่อว่าเป็นคริสตจักรเล็กๆ แต่เราไม่เคยขาดพระพรแถมเรายังเป็นท่อพระพรให้กับคริสตจักรน้อยใหญ่อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนียใน 2 คร.8:1-4

        2คร.8:1-4 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราใคร่ให้ท่านทราบถึงพระคุณของพระเจ้า โดยที่พระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่คริสตจักรต่างๆในแคว้นมาซิโดเนีย 2 เพราะว่าเมื่อคราวที่พวกเขาถูกทดลองอย่างหนักได้รับความทุกข์ยาก ความยินดีล้นพ้นของเขาและความลำบากยากจนอย่างที่สุดของเขานั้น ก็ล้นออกมาเป็นใจศรัทธาอย่างยิ่ง 3 เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่า เขาศรัทธาถวายโดยสุดความสามารถของเขา ที่จริงก็เกินความสามารถของเขาเสียอีก 4 และเขายังได้วิงวอนเรามากมาย ขอให้เขามีส่วนในการช่วยธรรมิกชนด้วย

        คริสตจักรในแคว้นมาซิโดนเนียเป็นคริสตจักรที่ยากจน นอกจากยากจนแล้วยังถูกทดลองอย่างหนักหนาสาหัส แต่เมื่อมีเรื่องราวอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า เกี่ยวข้องกับพี่น้องที่เป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยกันแล้ว คริสตจักรในแคว้นนี้ได้ชื่อว่า เหยียดสุดตัว ถวายสุดกำลัง ให้กับพระเจ้าจนท่าน อ.เปาโล กล้าเอาตัวเองออกมารับรองว่าท่านเป็นพยานในเรื่องนี้ให้ได้ เรื่องนี้สอนให้รู้ถึงศิลปะแห่งการให้ว่า การให้ต้องไม่มีอุปสรรค

        ท่าน อ.เปโตร พูดกับขอทานว่าเงินและทองเราไม่มี แต่สิ่งที่เรามีคือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ให้ตัวตนของเรากับเขา ตัวตนของเราในตอนนี้มีอะไร ? ข่าวประเสริฐ คำอธิษฐาน คำหนุนใจ การให้คำปรึกษา การเผยพระวจนะ รอยยิ้ม การกอดที่อบอุ่นและอื่นๆอีกมากมาย

        ทั้ง 5 ประการที่ได้กล่าวมาเป็นศิลปะของการเป็นผู้ให้ที่ก่อให้เกิดความสุข แต่ในประการที่ 6 จะเป็นการกล่าวถึงการให้ที่มีความสุขและมีความน่าประทับใจด้วย

        ลก.10:33-35 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา 34 เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้ 35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า "จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้"

        พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ พวกเราทุกคนต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี พวกเราทราบอยู่แล้วว่าชาวสะมาเรียเป็นลูกผสมระหว่างชาวยิวกับชาวต่างชาติ ซึ่งในสายตาของคนยิวแล้วถือว่าเป็นมลทิน คนยิวจะดูถูกดูหมิ่นดูแคลนชาวสะมาเรีย คนยิวจะไม่คบค้าสมาคมกับชาวสะมาเรียเลย ถึงขนาดมีการสร้างเมืองให้ชาวสะมาเรียไปอยู่ต่างหาก เพื่อไม่ให้ไปสร้างมลทินให้กับคนยิว

        ในพระวจนะตอนเดียวกันนี้บอกกับเราว่า ก่อนที่ชาวสะมาเรียจะมาพบและช่วยคนที่ถูกปล้นนั้น “ปุโรหิต” กับ “เลวี” ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้นำศาสนาในเวลานั้น ซึ่งเป็นคนของพระเจ้าซึ่งเป็นคนที่ประกอบศาสนพิธีอย่างยิ่งใหญ่ อลังการ แต่งกายดูดี มีฐานะทางสังคมสูง ผู้คนพากันยกย่อง สรรเสริญ

        พวกเขาได้เดินทางมาพบกับคนที่ถูกปล้นก่อน แต่พวกเขาพากันเดินผ่าน เดินเลย ไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น ปล่อยให้คนที่ถูกปล้นนอนหายใจรวยริน คนเหล่านี้ในสายพระเนตรของพระเจ้ายกย่องเขาว่า คนบาปในคราบนักบุญ

        ต่างจากชาวสะมาเรีย คนที่คนยิวมองว่ามีตำหนิ มีมลทิน คนที่ไม่น่ายกย่อง ที่เดินทางมาพบคนที่ถูกปล้นในภายหลัง พระคำของพระเจ้าใน ลก.10:33-35 กล่าวถึงสิ่งที่ชาวสะมาเรียทำทั้งหมด แตกต่างกับคนยิวที่เรียกตัวเองว่า ปุโรหิต เลวี รับบี สะดุสี ธรรมาจารย์ ชาวสะมาเรียจึงได้รับการยกย่องจากพระเจ้าว่า ยอดนักบุญ หรือนักบุญในคราบคนบาป

        เรื่องนี้บอกอะไรกับเรา เรื่องนี้บอกกับเราว่า พระเจ้าทรงมองมนุษย์ไม่เหมือนที่มนุษย์มอง พระเจ้าทรงมองอย่างละเอียด แต่มนุษย์มองหยาบ พระเจ้าทรงมนุษย์ในที่ลึก ในขณะที่มนุษย์มองเพียงแค่ผิวเผิน

        1 ซมอ.16:7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขาเพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"

        เรื่องนี้สอนอะไรกับเราอีก แท้ที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาป คนเราไม่ผิดอย่างใดก็ผิดอย่างหนึ่งเสมอ แต่ผู้ใดที่ให้ แต่ผู้ใดที่เมตตาสงสารผู้อื่น พระเจ้าทรงยกย่องชมเชยผู้นำ

        เรื่องนี้สอนอะไรกับเราอีก พระเจ้าทรงวัดคนจากผลแห่งการกระทำไม่ใช่ด้วยปาก และนี่คือศิลปะแห่งการให้ที่นำมาเป็นพระพรให้แก่พี่น้องในเช้าวันนี้

 

 

Green City