ศิษย์เอกของพระคริสต์

        มก.8:38 (ก) ด้วยว่าถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา (ข) ในชั่วชีวิตนี้ซึ่งประกอบด้วยการชั่วคิดคดทรยศ บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น ในเวลาเมื่อพระองค์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และด้วยเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์"

          ภาคเรียนของปีการศึกษา 2565 นี้ทำให้น้องๆนักเรียน , นิสิต นักศึกษา ได้มีโอกาสกลับไปเรียนที่โรงเรียนหรือที่มหาวิทยาลัยได้ตามปกติอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่น้องๆไม่ได้ไปเรียนหนังสือที่สถานศึกษาต่างๆนานถึง 2 ปี เนื่องจาก Covid - 19

          พี่น้องที่รักครับ การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้นมีคณะหรือมีสาขาวิชาต่างๆมากมาย และในแต่ละคณะหรือสาขาวิชานั้นก็มีคนเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่คนที่จะได้รับ“เกียรตินิยมอันดับ 1”  หรือเป็น “ศิษย์เอก”  ของแต่ละคณะหรือแต่ละสาขาวิชานั้นมีได้มากหรือน้อยครับ

          ในทางของพระเจ้าก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อ , คริสเตียน , เป็นสาวกชั้นนอก นั้นมีมาก ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกชั้นใน , เป็นสาวกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรัก , เป็นศิษย์เอกของพระเยซูนั้นมีน้อยหรือมีมากครับ ?

          หากพี่น้องเป็นคนหนึ่ง ที่อยากเป็นสาวกชั้นในเหมือนกับท่านยอห์น , เปโตร , ยากอบหรือเป็นศิษย์เอกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรักเหมือนท่าน อ.ยอห์น พี่น้องก็จะต้องเรียนรู้ถึงคุณสมบัติต่างๆในการที่เรานั้นจะเป็นศิษย์เอกของพระองค์ ดังนั้นในเช้าวันนี้เราจะเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วยกัน

          ประการที่ 1 มก.8:38 (ก) ด้วยว่าถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา

          พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่จะเป็นศิษย์เอกหรือได้รับเกียรตินิยมในการติดตามจากพระเจ้าได้นั้น เขาจะต้องเป็นคนที่ไม่มีความอายในข่าวประเสริฐ ถ้าคุณอายในข่าวประเสริฐนั่นก็เท่ากับ

          1.คุณละอายพระเจ้า 2.คุณไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพ่อของคุณคือใคร 3.คุณไม่ได้มีความภาคภูมิใจในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

          ดังนั้นคนที่จะเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้นั้นเขาจะต้องมีความภาคภูมิใจในพระเจ้าเป็นอันดับแรก

          เหรียญมีกี่ด้านครับพี่น้อง เหรียญนั้นมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเราต้องมีความภาคภูมิใจในพระเจ้าอีกด้านหนึ่งเราต้องให้พระเจ้านั้นมีความภาคภูมิใจในเราด้วย

        มธ.3:17 และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก"

          พระเจ้าพระบิดา ทรงภาคภูมิใจใน พระเจ้าพระบุตร ทั้งในด้านความคิด ด้านคำพูดและการกระทำรวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย

          พี่น้องจำได้ไหมครับว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงถืออดอาหารอธิษฐานในถิ่นทุรกันดารนานกี่วันครับ ? 40 วัน

          แม้ว่าร่างกายภายนอกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจะดูอ่อนกำลัง แต่กายภายในของพระองค์นั้นยังดูแข็งแรงดีอยู่เสมอ  

          พระคำของพระเจ้าใน มธ.4:1-11 เราพบว่า ซาตานบอกให้พระเยซูสั่งให้ก้อนหินเหล่านั้นมาเป็นพระกายาหาร องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงต่อสู้กับซาตาน ด้วยความคิด ด้วยคำพูดและด้วยการกระทำ เป็นลูกของพระเจ้าทำไมต้องไป 1.ฟังเสียงของมาร 2.ไปขออะไรเค้ากิน 2.รับเศษอาหารจากคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำให้พระบิดาทรงภาคภูมิใจในตัวเรา ในครอบครัวของเราด้วยการมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย

          พระคำของพระเจ้าใน มก.8:38 (ข) ในชั่วชีวิตนี้ซึ่งประกอบด้วยการชั่วคิดคดทรยศ บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น

          คำว่า ในชั่วชีวิตนี้ซึ่งประกอบด้วยการชั่วคิดคดทรยศ บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น

          มีความหมายว่า ชีวิตที่ไม่จริงใจ มีเล่ห์เหลี่ยมต่อพระเจ้า เมื่อมีเล่ห์เหลี่ยมต่อพระเจ้าจะมีเล่ห์เหลี่ยมต่อมนุษย์ได้ไหมครับ คนที่มีชีวิตแบบนี้ พระเจ้าจะภาคภูมิใจหรือพระเจ้าอายครับ

          ผู้เชื่อแบบนี้เป็นผู้เชื่อที่ไม่บังเกิดใหม่ และเมื่อวันสุดท้ายมาถึงเขาจะไม่มีชื่อปรากฎไว้หนังสือแห่งชีวิตซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายมาก

          คุณสมบัติในการที่เราจะเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูคริสต์ประการที่ 2 3 ยน.1:3 เพราะว่าข้าพเจ้าปีติยินดีอย่างยิ่ง เมื่อพวกพี่น้องบางคนได้มาและเป็นพยานถึงชีวิตอันคงเส้นคงวาของท่าน ตามที่ท่านได้ประพฤติตามสัจจะนั้น

          มนุษย์ตอนแรกที่รักกันใหม่ๆ  เดี๋ยวเทียวรับ  เดี๋ยวเทียวส่ง ไม่อยากให้ไปส่งก็อยากจะไปส่ง ไม่อยากให้มารับก็อยากมารับ พอแต่งงานอยู่กินด้วยกัน ไม่อยากไปรับไปส่งเหมือนตอนแรกรักขาดความเสมอต้นเสมอปลาย หลายคู่จึงสอบตกในเรื่องนี้คือ ขาดความเสมอต้นเสมอปลาย

          ท่าน อ.ยอห์น ได้เขียนชื่นชมถึงความเสมอต้นเสมอปลายความคงเส้นคงวาของผู้เชื่อว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งในการที่เรานั้นจะเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูเจ้าได้

          เพราะฉะนั้นรักพระเจ้าไม่ใช่เป็นเรื่องของคำพูดแต่เป็นเรื่องของการกระทำด้วยและพระเจ้าทรงรู้ถึงการกระทำของเราทุกคนเพราะฉะนั้นให้เรารักพระเจ้า อย่างเสมอต้นเสมอปลาย , คงเส้นคงวา ซึ่งนั่นรวมถึง 1. ให้รักอาณาจักรของพระเจ้าด้วย 2. ให้รักผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วย 3. ให้รักคนของพระเจ้าด้วย

          ผู้เชื่อที่รักพระเจ้าแบบ 1.รักๆเลิกๆ 2. รักแบบครึ่งๆกลางๆ  3. รักแบบฟูๆแฟบๆ 4.ตอนแรกร้อนรนในพระเจ้าดี แต่พอนานๆไป ไฟแห่งความร้อนรนกับมอดดับไป 5. เคยให้พระเจ้าก่อน แต่พอนานๆไปเอาพระเจ้าไว้หลังสุด

          ผู้เชื่อแบบนี้จะเป็นศิษย์เอกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ไหมครับ ? ถ้าใครก็ตามที่มีลักษณะชีวิตแบบนี้ 1.พระเจ้าภาคภูมิใจในเราไม่ได้ 2. เป็นศิษย์เอกของพระเจ้าไม่ได้

        โยบ.1:8 และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า "เจ้าได้ไตร่ตรองดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ ว่าในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย"

          พระคำของพระเจ้าใน โยบ 1:8 ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าพระเจ้ามีความภาคภูมิใจในตัวโยบมาก พระเจ้าจึงอวดอ้างชีวิตของโยบต่อหน้ามารซาตานได้ว่า จิตวิญญาณแห่งความเชื่อมั่นในความดีงามของพระเจ้าในชีวิตของโยบนั้นดีมาก ขอให้ชีวิตของเราเป็นเหมือนโยบที่พระเจ้ามีความภาคภูมิใจและอวดอ้างกับใครๆก็ได้

        ฟป.2:20-21 ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนทิโมธี เป็นคนเอาใจใส่ในทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง เพราะว่าคนอื่นๆย่อมแสวงหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูคริสต์

          พวกเราทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า ทิโมธีนั้นเป็นศิษย์เอกของท่าน อ.เปาโล แต่พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ ทำให้เราทราบว่า ทิโมธี นั้นยังเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วย

        อ.เปาโล จึงยกเอาชีวิตของทิโมธีมาเป็นแบบอย่างในการสอนผู้อื่นด้วยความภาคภูมิใจว่าทิโมธีนั้นเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้เป็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเลยแต่แสวงหาประโยชน์ในแผ่นดินของพระเจ้า

          ถ้าหากเรามีจิตวิญญาณแห่งความเชื่อมั่นในความดีงามของพระเจ้าในชีวิตเหมือนโยบดังที่กล่าวมาและถ้าหากเรามีชีวิตที่ดีเหมือนกับทิโมธีที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามคิดถึงแผ่นดินของพระเจ้า

พี่น้องจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงภาคภูมิใจ พี่น้องจะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

          คุณสมบัติในการที่เราจะเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูคริสต์ประการที่ 3 อสย.60:1 จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า

          มธ.5:13-16  "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ

14 "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

          พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อ นี้ได้บอกกับเราเอาไว้อย่างชัดเจนในเรื่องที่เหมือนกัน อสย.60:1 พูดถึง “จงลุกขึ้นฉายแสง”มธ.5:13-16 พูดถึง “การเป็นเกลือและแสงสว่าง”

          คำว่า จงลุกขึ้นฉายแสง คือการมีชีวิตที่ส่องสว่างแก่คนอื่น คนที่มีชีวิตอยู่ในความมืดไม่สามารถอวดใครได้ มีแต่ชีวิตที่สว่างเท่านั้นถึงจะส่องสว่างแก่คนอื่นได้

          คำว่า เกลือ คือ คุณลักษณะ คุณลักษณะของเกลือ คือ การรักษาความเค็ม เราต้องมีลักษณะของพระคริสต์อยู่ในชีวิต

          Ex.ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักของพระคริสต์ , ความดีงามของพระคริสต์อยู่ในชีวิต , ถ้อยคำของพระเจ้าอยู่ในชีวิต , เมื่อเราคุณลักษณะเหล่านี้อยู่ในชีวิตมันจะสะท้อนออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งความคิด คำพูดและการกระทำ มธ.5:16 เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ ชีวิตแบบนี้จะเป็นชีวิตที่ประกาศพระบารมีของพระเจ้า

          ซึ่งนั่นหมายความว่า คนที่จะเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้นั้น ต้องมีชีวิตที่โดดเด่น ต้องมีชีวิตที่เป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรต่อผู้อื่น

          แม้คนจะไม่ได้ตั้งใจมองเราแต่เขาจะมองเห็นเรา แม้เราไม่ได้ทำตัวให้ดูโดดเด่นแต่เขาจะจ้องมองดูเราอยู่บ่อยๆ เพราะพระสิริของพระเจ้านั้นอยู่ภายในเรา เหมือนพระคำของพระเจ้าที่ตรัสไว้ในหนังสือเพลงโซโลมอน

        พซม.2:2 ดอกพลับพลึงท่ามกลางต้นกระชับนั้นอย่างไร ที่รักของฉันก็อยู่เด่นในท่ามกลางสาวอื่นๆอย่างนั้น

          ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ลงด้วยเรื่องราวของบุคคล 3 คนที่พระคำของพระเจ้าทรงรับรองเขาว่าเป็นศิษย์เอกของพระเจ้า

        กดว.12 : 6-10 พระองค์ตรัสว่า "จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้เผยพระวจนะท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย เราพระเจ้าจะสำแดงตัวแก่ผู้นั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน 7 สำหรับโมเสสผู้รับใช้ของเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น ในประชาชนของเราเขาสัตย์ซื่อ 8 เราพูดกับเขาปากต่อปากอย่างชัดเจนไม่พูดเร้นลับ และเขาเห็นสัณฐานของพระเจ้า ไฉนเจ้าไม่กลัวที่จะพูดติโมเสสผู้รับใช้ของเรา" 9 พระเจ้าทรงกริ้วเขามาก แล้วเสด็จไปเสีย 10 เมื่อเมฆลอยพ้นเต็นท์ไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียม และดูเถิดนางเป็นโรคเรื้อน

          พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ทำให้เราทราบว่า โมเสสนั้นเป็นศิษย์เอกของพระเจ้า คำถามคือว่า เรารู้ได้จากตรงไหน ? พระเจ้าทรงชมโมเสสต่อหน้ามิเรียมกับอาโรน พระเจ้าพูดกับโมเสสแบบหน้าตาหน้า

          พระเจ้าทรงต่อว่าชนชาติอิสราเอลที่พวกเขาไม่เพียงแต่จะละทิ้งพระเจ้าไปกราบไหว้รูปเคารพเท่านั้น แต่พวกเขามักจะต่อว่าโมเสสซึ่งเป็นคนที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งเอาไว้ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงลงโทษเขา

          สิ่งนี้ทำให้เราทราบว่า 1. พระเจ้าทรงรับรองชีวิตของโมเสส 2.พระเจ้าทรงปกป้องผู้ที่ยืนอยู่ฝ่ายพระองค์

เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก พระเจ้าจะทรงรับรองชีวิตของเราและพระองค์จะทรงปกป้องพี่น้องอย่างแน่นอนถ้าพี่น้องยืนหยัดอยู่ในฝ่ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า

        ยรม.42:6 ไม่ว่าจะดีหรือร้ายข้าพเจ้าทั้งหลายจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ผู้ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายส่งท่านให้ไปหานั้นเพื่อเราจะอยู่เย็นเป็นสุขเมื่อเราเชื่อฟังพระสุรเสียงแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา

          พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ชื่อว่าเยเรมีย์นั้น ต้องถูกเข้าใจผิดและพบกับอุปสรรคปัญหามากมายในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า

          แต่ท่านมีปณิธานที่แน่วแน่ที่จะรับใช้พระเจ้าด้วยการเชื่อฟังและทำตามพระสุรเสียงของพระเจ้าพระเยโฮวาห์ พี่น้องคิดว่าเมื่อพระเจ้าได้ยินได้ฟังอย่างนี้แล้ว พระเจ้าจะทรงยิ้มพระสวรลไหมครับ ?

          ถึงแม้ว่าเยเรมีย์จะจากโลกนี้ไปนานหลายพันปีแล้วก็ตาม แต่พระเจ้ายังทรงอวดเยเรมีย์เอาไว้ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์เพื่อให้เรื่องราวในการรับใช้ของเยเรมีย์ได้ถูกเล่าขานมาถึงจนเวลานี้และต่อๆไปในอนาคต

        2 คร.11:23-29 เขาเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์หรือ ข้าพเจ้าเป็นดีกว่าเขาเสียอีก (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนบ้า) ข้าพเจ้าทำงานใหญ่ยิ่งกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ 24 พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆละสามสิบเก้าที 25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยตะบองสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง 26 ข้าพเจ้าต้องเดินทางบ่อยๆเผชิญภัยอันน่ากลัวในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในนคร เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องทรยศ 27 ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆต้องทนหนาวและเปลือยกาย 28 และนอกจากนั้นยังมีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุกวันๆคือความกระวนกระวายถึงคริสตจักรทั้งปวง 29 มีใครบ้างเป็นคนอ่อนกำลังและข้าพเจ้าไม่อ่อนกำลังด้วย มีใครบ้างที่ถูกนำให้สะดุด และข้าพเจ้าไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย

        พระคำของบอกกับเราว่า ท่าน อ.เปาโล เป็นอีกคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงรับรองว่าท่านเป็นศิษย์เอกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า แท้จริงแล้วชีวิตของท่าน อ.เปาโล ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายต่างๆมามากกว่าที่เราได้อ่านร่วมกันไปเมื่อสักครู่

          แต่ก็ไม่มีอุปสรรคหรือปัญหาใดๆที่จะหยุดยั้งการปรนนิบัติรับใช้ของท่าน อ.เปาโลได้เลย อาจจะกล่าวได้ว่าท่าน อ.เปาโล รับใช้พระเจ้าจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตก็ได้

          เรื่องราวชีวิตในการรับใช้พระเจ้าของท่าน อ.เปาโล จึงมักถูกหยิบขึ้นมาเทศนาหรือใช้ในการฟื้นใจ หนุนใจผู้รับใช้พระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุเพราะท่าน อ.เปาโล ถือได้ว่าเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของพระเจ้าพระเยซูคริสต์นั่นเอง

          พี่น้องทราบไหมครับว่า มีคำพูดคำหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงเก็บเอาไว้พูดกับคนที่เป็นศิษย์เอกของพระองค์นั่น คือคำว่าอะไร ? เราชอบใจท่านมากเพราะท่านเป็นศิษย์เอกของเรา ถ้าพี่น้องอยากได้ยินคำนี้พี่น้องต้องไม่เป็นเพียงแค่ผู้เชื่อ , สาวก แต่พี่น้องต้องพัฒนาชีวิตไปสู่การเป็นศิษย์เอกของพระคริสต์เจ้า

Green City