มรดกธรรมิกชน

คำเทศนาเรื่อง มรดกธรรมิกชน


        อฟซ.1:17-18 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ 18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
วันนี้เป็นวันที่สำคัญวันหนึ่ง เป็นวันที่ผู้นำของอิสราเอลคือ เนธันยาฮู ได้บอกกับประชาคมโลกว่า วันนี้กองทัพอิสราเอลจะเข้าถล่มราฟาห์ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้าย ที่ผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ได้หนีไปอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก
        คำถามคือว่า พี่น้องคิดว่าในสถานการณ์อย่างนี้คนชาวปาเลสไตน์จะรู้สึกอย่างไรครับ ? เครียด รู้สึกสมเพชเวทนาตนเอง กินไม่ได้นอนไม่หลับ หมดหวังกับชีวิตและอีกหลากหลายความรู้สึกที่เราไม่อาจสามารถที่จะอธิบายได้
        ในคำถามเดียวกัน คือ และถ้าสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับเราล่ะ เราจะรู้สึกอย่างไร ?
        ยน.16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว"
ถ้าเรามีพระคำของพระเจ้าฝังอยู่ในชีวิตฝังอยู่ในจิตวิญญาณของเราจริงๆ เราจะมองเรื่องความวุ่นวายต่างๆนาๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องภัยทางธรรมชาติ ภัยสงคราม พิษภัยทางเศรษฐกิจหรือภัยที่เกิดจากการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตาม
และสาเหตุที่ทำให้เรามองเป็นเรื่องที่ปกติได้เพราะพระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราเอาไว้ล่วงหน้าแล้วกว่าสองพันปี อีกทั้งพระคำของพระเจ้าใน ยน.16:33 ยังได้พูดกับเราต่อไปอีกว่า แต่จงชื่นใจเถิด
        ซึ่งนั่นหมายความว่า ท่ามกลางภัยพิบัติต่างๆนาๆที่เกิดขึ้นเรายังมีความหวัง เรายังมีความชื่นชมยินดีได้ เรายังหัวเราะและยิ้มทั้งน้ำตาได้ เพราะเรามีพระเจ้าที่ชนะโลกแล้วอยู่ในชีวิต
เพราะฉะนั้นคำว่า มรดกของธรรมิกชน ใน อฟซ.1:17-18 จึงไม่ได้หมายถึง วัตถุสิ่งของหรือทรัพย์สินเงินทองแต่ประการใด แต่มรดกของธรรมิกชนในที่นี้หมายถึง สันติสุข ความชื่นชมยินดีและยังมีความหมายอื่นๆอีกมากมาย
        ฮบก.3:17-18 แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง 18 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า
        ภาพของต้นมะเดื่อ ภาพของเถาองุ่น ภาพของผลมะกอกเทศ ภาพของทุ่งนา ภาพของฝูงสัตว์ เป็นภาพสะท้อนถึงอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากและอื่นๆ
        ในข้อที่ 18 บอกกับเราว่า ถึงกระนั้นเราก็สามารถที่จะชื่นชมยินดีในพระเจ้าได้เสมอ นี่คือ มรดกที่พระเจ้าได้ทรงมอบไว้ให้แก่บรรดาธรรมิกชน และพระคำของพระเจ้าได้ตรัสในเรื่องนี้เอาไว้อีกครั้งหนึ่งใน ฟป.4:4 ว่าเราสามารถที่จะรับเอาความชื่นชมยินดีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตลอดเวลาเสมอ
        แต่ซาตานจอมหลอกลวงมันพยายามทำให้มนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปมีความคิดและมีเข้าใจคำว่า มรดก ไปในทิศทางไหนครับ ? วัตถุ สิ่งของหรือทรัพย์สินเงินทอง
พี่น้องคิดว่าผู้เชื่อหลายคน ที่มาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่เขายังมีความเข้าใจคำว่า มรดกของธรรมิกชน ไปในทิศทางที่ซาตานกำหนดไว้ คือหมายถึงเฉพาะ วัตถุ สิ่งของหรือทรัพย์สิน เงินทอง เท่านั้นพี่น้องคิดว่ามีไหมครับ ?
        ผู้เชื่อหลายคนจึงหลับหูหลับตาทำมาหากินไม่ต่างอะไรจากคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะฉะนั้นการเรียนพระวจนะคำของพระเจ้าระหว่างสัปดาห์หรือการเรียนพระวจนะคำของพระเจ้าในวันอาทิตย์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
        อฟซ.1:18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
        พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าท่าน อ.เปาโล จึงได้อธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทุกคน เพื่อที่ตาฝ่ายวิญญาณของเขาจะเปิดออก เพื่อที่ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณของเขาจะเปิดออก เพื่อที่หูฝ่ายวิญญาณของเขาจะเปิดออก เพื่อที่สติปัญญาฝ่ายวิญญาณของเขาจะเปิดออก
        กจ.26:18 เพื่อจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจว่า มรดกของธรรมิกชน โดยแท้จริงแล้วนั้นมันคืออะไร ไม่ใช่วัตถุ สิ่งของ ไม่ใช่ทรัพย์สิน เงินทอง แต่เป็นสันติสุขเป็นความชื่นชมยินดีและอื่นๆ

        สดด.1:3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น มรดกของธรรมิกชน คือ การมีชีวิตที่จำเริญขึ้น
        มธ.13:31-32 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืช {ตามภาษากรีกว่าเมล็ดผักกาด ซึ่งในประเทศปาเลสไตน์ต้นผักกาดบางต้นขึ้นสูงถึงสามสี่เมตรและมีกิ่งก้าน} เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน 32 เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"
        มรดกของธรรมิกชน คือ ชีวิตที่เติบโตและเป็นพรต่อผู้อื่นได้
        มธ.5:13-14 13 "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ
14 "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
        มรดกของธรรมิกชน คือ การเป็นเกลือและแสงสว่าง อยู่ที่ไหนก็เป็นประโยชน์ที่นั่นหรือเป็นพระพรที่นั่น
        รม.8:18 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย
        ท่าน อ.เปาโล ได้เขียนพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ในขณะที่การเป็นคริสเตียนในเวลานั้นเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายของโรมมันยุคเริ่มแรก สาเหตุเกิดจากการหวาดระแวงเรื่องการก่อกบฎในหมู่ชาวยิว
        ดังนั้นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในยุคแรกจึงถูกกวาดล้างอย่างรุนแรง ความทุกข์ยากลำบากในเรื่องนี้ก็ถือได้ว่าเป็น มรดกแห่งธรรมิกชน ด้วยเช่นเดียวกัน

        2 คร.6:4-5 แต่เราผู้เป็นคนรับใช้ของพระเจ้า ได้กระทำตัวให้เป็นที่ชอบในการทั้งปวง โดยความเพียรอดทนเป็นอันมาก ในความทุกข์ยาก ในความขัดสน ในเหตุวิบัติ 5 ในการถูกเฆี่ยน ในการที่ถูกจำคุก ในการวุ่นวายในการงานต่างๆในการอดหลับอดนอน ในการอดอาหาร
        พระคำของพระเจ้าใน 2 คร.6:4-5 ได้อธิบายถึงสิ่งต่างๆที่ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในยุคแรกต้องเจอว่ามีอะไรบ้าง รวมถึงการถูกประหารชีวิตด้วย
อย่างไรก็ตาม อ.เปาโล ได้ย้ำว่า มรดกแห่งธรรมิกชน นี้มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว ถ้าจะเทียบกับสิ่งที่ 1 ) ถาวรนิรันดร 2 ) รอเราอยู่เบื้องหน้า 3 ) จะนำเราไปสู่เกียรติและศักดิ์ศรีที่เราจะได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
        ซึ่งนั่นหมายความว่า ท่าน อ.เปาโล สอนให้เรามองยาวๆ มองไกลๆ มองอะไรให้มันทะลุไปถึงที่มันเป็นนิรันดรๆ เมื่อเรามองไปที่พระวจนะของพระเจ้า
เราก็จะพบว่าผู้รับใช้ของพระเจ้ามากมายหลายท่าน ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ต่างก็มีชีวิตที่กระทำเพื่อพระเจ้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อวันคืนที่พระคริสต์เสด็จกลับมารับเราทั้งหลาย บรรดาผู้รับใช้เหล่านี้ก็จะได้รับซึ่ง เกียรติและศักดิ์ศรี
        1 ปต.5:4 และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับศักดิ์ศรีเป็นมงกุฎที่ร่วงโรยไม่ได้เลย พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราว่า เกียรติและศักดิ์ศรีที่เราได้รับ คือ มงกุฎที่ไม่ร่วงโรย อันหาที่เปรียบไม่ได้จากพระองค์
        กลับมาที่ตัวเรา คำถามคือว่า ถ้าเราต้องตายไปในวันนี้ พรุ่งนี้ นอกจากการรอดด้วยไฟแล้ว เรามีอะไรรอเราอยู่บนสวรรค์บ้างและมากน้อยแค่ไหน ? อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิดและเราต้องลงมากระทำด้วย เหมือนกับที่ชาวโลกพูดว่า ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง
        ซึ่งนั่นหมายความว่า การกระทำของเราในโลกใบนี้นั่นก็คือ การประกาศเป็นพยาน การปรนนิบัติ การรับใช้พระเจ้าของเราในโลกใบนี้แหละ จะเป็นตัวตอบคำถามดังกล่าว
พี่น้องที่รักครับ เมื่อเราพูดถึง มรดก เราก็จะต้องพูดถึงทั้งผู้รับและผู้ให้ คำถามคือว่า ถ้าผู้รับเป็นเด็ก ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาจะรับมรดกฝ่ายโลก คือ วัตถุ สิ่งของ ทรัพย์สิน เงินทองหรือหุ้นได้ไหมครับ ?
        มรดกของธรรมิกชน ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะได้รับความรอดหรือแม้ว่าเขาจะได้รับสิทธิในการเป็นบุตรของพระเจ้า แล้วก็ตาม แต่สิทธิในการรับมรดกของธรรมิกชนจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเราสามารถดูหรือวัดความเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อได้ด้วยการ ? ดูว่าเขาทำตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่
        เช่น ไม่ประกาศ ไม่เป็นพยาน ไม่ถวายทรัพย์ ไม่ร่วมปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ร่วมแต่สุขไม่ร่วมทุกข์กับพระเยซูคริสต์เจ้า มีปัญหากันยังทุ่มเถียงกัน อย่างนี้จะรับมรดกของธรรมิกชนได้หรือไม่ ? จะรับเกียรติศักดิ์ศรีหรือมงกุฎที่ไม่ร่วงโรยจากพระเจ้าได้หรือไม่ ?

        เมื่อพูดถึงผู้รับแล้วก็ต้องพูดถึงผู้ให้ ผู้ให้ก็มีทั้งผู้ให้ฝ่ายโลกและผู้ให้ในฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน
        ผู้ให้ฝ่ายโลกตัวอย่างเช่น 1 ) โทมัส เอดิสัน ก็ได้ทิ้งมรดกนั่นก็คือ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆให้กับโลกนี้เอาไว้เยอะแยะมากมาย 2 ) อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ ได้ทิ้งมรดกให้กับโลก นั่นก็คือ ทฤษฎีเกี่ยวกับพิสิกส์ที่เป็นประโยชน์ต่อโลกนี้มากมาย 3 ) ร.5 ได้ทิ้งมรดกให้กับคนไทย คือ การเลิกทาส การรถไฟ การประปา และพระราชทานที่ดินกว่า 1000 ไร่ให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
        ผู้ให้มรดกฝ่ายวิญญาณตัวอย่างเช่น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าพระองค์ทรงทิ้ง 12 อัครสาวกให้เป็นผู้สืบสานพระราชกิจของพระองค์จนกระทั่งแผ่นดินของพระเจ้าตั้งอยู่จนถึงเวลานี้และในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 22-23 พระคำของพระเจ้ายังได้บอกกับเราว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้ายังทรงเตรียมมรดกในกาลอนาคตหรือในโลกหน้าเอาไว้ให้แก่เราทั้งหลายด้วย

        ผู้ให้มรดกฝ่ายวิญญาณอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ท่าน อ.เปาโล ท่านได้ทิ้งมรดกฝ่ายวิญญาณในการเป็นผู้บุกเบิกและการก่อตั้งคริสตจักรต่างๆเอาไว้มากมายในโลกใบนี้ รวมถึงท่าน อ.เปาโล ยังทิ้งมรดกฝ่ายวิญญาณ คือ คำสอนต่างๆของท่านเอาไว้อีกมากมายจนถึงวันนี้
เราเองซึ่งเป็นคนของพระเจ้า ได้รับพระคุณและพระพรจากพระเจ้ามาอย่างมากมายนับครั้งไม่ถ้วน เราเองก็ควรที่จะคิดถึงเรื่องการทิ้งมรดกฝ่ายวิญญาณและสิ่งดีๆให้กับคนรุ่นหลังด้วยเช่นเดียวกัน
        1 คร.4:15 เพราะในพระคริสต์ถึงแม้ท่านมีผู้ควบคุมสักหมื่นคน แต่ท่านก็มีบิดาแต่คนเดียว เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดแก่ท่านโดยข่าวประเสริฐ
พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราว่า การให้กำเนิดคนผ่านข่าวประเสริฐ ก็เป็นการสร้างมรดกฝ่ายวิญญาณอย่างหนึ่ง เหมือนพี่อ้วนให้กำเนิดพี่น้องและวงศ์วานญาติเครือ รวมถึงน้องวิภาด้วย เหมือนพี่เยาว์ที่ได้ให้กำเนิดน้องเนย เป็นต้น
        ดนล.12:3 และบรรดาคนที่ฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร
พี่น้องที่รักครับ บางครั้งเราก็ต้องประเมินหรือถามตัวเองด้วยว่า ตั้งแต่วันแรกที่เราได้มาเชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์มาจนถึง ณ.วันนี้ เราได้นำกี่คนแล้วมาถึงพระเจ้า เราได้ทิ้งผู้เชื่อกี่คนแล้วไว้เป็นมรดกของโลกนี้
        ฟป.2:20-22 ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนทิโมธี เป็นคนเอาใจใส่ในทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง 21 เพราะว่าคนอื่นๆย่อมแสวงหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูคริสต์
        22 แต่ท่านก็รู้ถึงคุณค่าของทิโมธีดีแล้ว ว่าเขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ เสมือนบุตรรับใช้บิดา
        พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ ทำให้เราทราบว่าท่าน อ.เปาโล ได้สร้างทิโมที ไว้เป็นมรดกฝ่ายวิญญาณให้กับโลกนี้ เราต้องสร้างลูกฝ่ายวิญญาณ สร้างน้องเลี้ยงฝ่ายวิญญาณ เพื่อมาสานงานต่อ
        งานของพระเจ้านั้นเป็นงานที่ไม่ง่าย เป็นงานที่ลำบาก เพราะฉะนั้นคุณสมบัติในการสร้างคนขึ้นมาในการรับใช้พระเจ้า ก็ต้องพร้อมเพื่อที่จะลำบากในงานของพระเจ้า เพื่อว่าเมื่อตัวเราจากไปงานของพระเจ้ายังมีคนสานต่อไป
        ฟป.1:21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร
        มรดกฝ่ายวิญญาณ ตามพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ คือ การปลูกฝังอุดมการณ์ คำว่า การอยู่เพื่อพระคริสต์ คือ อยู่อย่างเป็นพระพรแก่ผู้อื่น อยู่เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าและเพื่ออาณาจักรของพระองค์
        และ อ.เปาโล ก็ได้ปลูกฝังอุดมการณ์นี้ให้กับผู้เชื่อในยุคแรก เป็นเหตุทำให้งานของพระเจ้าได้ขยายออกไปจากวันนั้นจนถึงวันและจะขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
        ฟป.4:9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน
        อ.เปาโล ทิ้งแบบอย่างชีวิตของท่านให้เป็นมรดกฝ่ายวิญญาณแก่ผู้คน ชีวิตของท่าน อ.เปาโล นั้นทรงพลังมาก เป็นแรงบันดาลใจและเป็นประโยชน์ให้กับผู้คนรุ่นหลังเยอะแยะมากมาย
        แม้ว่าชีวิตของเราจะไม่ได้ทรงพลังมากอย่างท่าน อ.เปาโล แต่เราก็ต้องถามตัวเราเองว่า มีกี่คนที่เห็นแบบอย่างชีวิตที่ดีในชีวิตของเรา ท่าน อ.เปาโล ตายไปแล้ว แต่แบบอย่างชีวิตที่ดีของท่านไม่ได้ตามไปด้วย ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน สักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย แต่บางอย่างชีวิตที่ดีของเราจะไม่ตาย ถ้าเราได้ทิ้งบางสิ่งบางอย่างที่ดีไว้เบื้องหลัง

Green City