เมื่อพระเจ้ามองลงมา

คำเทศนาเรื่อง เมื่อพระเจ้ามองลงมา

       สดด.14:2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า

       พี่น้องที่รักครับ “นกอินทรีย์” ได้ชื่อว่าเป็นนกที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Bird View Eyes 8nv มีทัศนวิสัยในการมองที่ยาวและกว้างไกลมาก

       เหมือนกับมนุษย์เราถ้าได้นั่งอยู่บนเครื่องบินทัศนวิสัยในการมองเป็นอย่างไรครับ ? แต่พระผู้ที่สร้างทั้งนกอินทรีย์และทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา พระองค์ย่อมต้องมีสายตาที่ยาวและกว้างไกลมากกว่านกอินทรีย์หรือมากกว่ามนุษย์อย่างแน่นอน

       จากพระคำของพระเจ้าใน สดด.14:2 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไรครับ ? พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ได้บอกพูดถึง “สวรรค์”

       “สวรรค์” คือ ที่ประทับขององค์องค์พระผู้เป็นเจ้า

       คำถามก็คือว่า “สวรรค์” กับโลกมนุษย์ห่างไกลกันแค่ไหนอันนี้ผมตอบไม่ได้ แต่ที่ผมตอบได้คือ “สวรรค์” นั้นมีอยู่จริง ? คำถามคือว่า แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า “สวรรค์” นั้นมีอยู่จริง ?

       คำตอบคือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้และที่สำคัญคือ “สวรรค์” คือ สถานที่ๆผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคนจะได้กลับไปอยู่กับพระองค์ที่นั่น

              ให้ที่ประชุมอ่านพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.4 :1-16 ร่วมกัน 1 ฝ่ายชายนั้นสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาอิน นางจึงกล่าวว่า "พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันได้ผู้ชายคนหนึ่ง" 2 ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องชายของเขาชื่ออาแบล อาแบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่ไถนา 3 อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลที่เกิดจากไร่นามาถวายพระเจ้า 4 ส่วนอาแบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระเจ้าทรงพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา 5 แต่คาอินกับเครื่องบูชาของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธแค้นนัก หน้าบูดบึ้งอยู่

       6 พระเจ้าจึงตรัสถามคาอินว่า "เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม 7 ถ้าเจ้าทำดี เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้" 8 ฝ่ายคาอินก็พูดชวนอาแบลน้องชายของตนว่า "เราไปนากันเถอะ" เมื่ออยู่ที่นาด้วยกัน คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย 9 พระเจ้าตรัสถามคาอินว่า "อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน" คาอินจึงทูลว่า "ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง" 10 พระองค์ตรัสว่า "เจ้าทำอะไรไป โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน 11 บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า 12 ต่อไปเมื่อเจ้าทำนาจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก" 13 ฝ่ายคาอินทูลพระเจ้าว่า "โทษของข้าพระองค์หนักเหลือที่ข้าพระองค์จะทนได้ 14 ดูเถิดวันนี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพระองค์ออกจากที่ดินพ้นจากพระพักตร์พระองค์ไป ข้าพระองค์จะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก ใครพบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์เสีย"

       15 พระเจ้าตรัสแก่คาอินว่า "ไม่ได้ ผู้ใดฆ่าคาอิน จะมีโทษเจ็ดเท่า" แล้วพระเจ้าทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาอิน เพื่อว่าเมื่อใครพบจะได้ไม่ฆ่า 16 คาอินออกไปพ้นพระพักตร์พระเจ้าไปอยู่เมืองโนด {แปลว่า พเนจร} ทิศตะวันออกของเอเดน

       จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

       เราพบว่าเมื่อพระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ พระองค์ทรงพอพระทัยเครื่องถวายบูชาของอาเบลและทรงไม่พอพระทัยเครื่องถวายบูชาของคาอิน

       พระคำของพระเจ้าทั้งในข้อที่ 3 และ 4 พูดเหมือนกันเรื่องหนึ่ง คือ ตัวบุคคลกับของถวาย

       ข้อ 4  ได้อธิบายถึงเหตุและผล ที่พระเจ้านั้นทรงพอพระทัยอาเบลและเครื่องถวายบูชาของอาเบล

เมื่อพระเจ้ามองลงมาที่ตัวบุคคล คือ “อาเบล”

       “อาเบล” มีท่าทีที่ต้องการจะถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีให้กับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ “อาเบล” จึงไปเอาแกะหัวปีหรือแกะตัวแรกที่พึ่งคลอดออกมาซึ่งยังบริสุทธิ์ ไม่มีตำหนิมาถวายแด่พระเจ้า

       “อาเบล” มีท่าทีที่ต้องการจะถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีให้กับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ “อาเบล”จึงไปเอาแกะที่ตัวอ้วนพี มีไขมันมากมาถวายแด่พระเจ้า

แต่เมื่อพระเจ้ามองลงมาที่ตัวบุคคล คือ “คาอิน”

        “คาอิน” ไม่ได้มีท่าทีที่ต้องการจะถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีให้กับพระเจ้า แต่ “คาอิน” เขากับมีท่าทีในการที่จะถวายพืชผลอะไรยังไงก็ได้ให้กับพระเจ้า

       พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 7 ตรัสว่า “ถ้าเจ้าทำดี” คือ

       เจ้ารู้ว่าคนที่เจ้าจะถวายเครื่องบูชานั้นเขาเป็นใครและเป็นผู้ใด เจ้าจะถวายอะไรยังไงให้กับเขาได้อย่างนั้นหรือ หรือเจ้าควรมีท่าทีที่ถูกต้องในการถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้ามีให้กับเขาอันไหนมันดีกว่ากัน

       คำถามคือว่า เมื่อพระเจ้ามองลงมาที่ “คาอิน” เห็นอะไร ?

       มันใช่การ “กลับใจใหม่” ไหม ? มากไปกว่านั้นคือ คาอิน กลับทำสิ่งที่แย่มากขึ้นไปอีก คือ ฆ่าน้องชายของตัวเอง พี่น้องที่รักครับ คนที่ทำผิดแล้วยังไม่รู้ตัวว่าทำผิด นั่นคือสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิต

       พี่น้องที่รักครับเรื่องการถวายของ “คาอิน” กับ “อาเบล” นั้นยังพาพวกเราลึกลงไปในเรื่องของความเชื่อในทางศาสนาด้วย

       อฟ.2:8-9 ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้

       ภาพการถวายของ “อาเบล” โดยการถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีให้กับพระเจ้าและพระเจ้าทรงพอพระทัยและทรงรับเอาไว้นี่เป็นพระคุณ คริสเตียนเรารอดโดยพระคุณและความเชื่อ

       ภาพการถวายของ “คาอิน” โดยการถวายอะไรยังไงก็ได้และให้พระเจ้ายอมรับการกระทำของตนและพระเจ้าปฏิเสธการถวายของ “คาอิน” นี่คือภาพของมนุษย์ที่พยายามทำความดีเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยเพื่อจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า แต่เข้าได้ไหมครับ ? พระเจ้าทรงตอบปฎิเสธการถวายของคาอินฉันใด พระเจ้าก็ทรงตอบปฎิเสธการพยายามทำความดีของมนุษย์ฉันนั้น

       ให้เราดูพระคำของพระเจ้าใน 1 พกศ.21:1-26 และอยู่มาภายหลังสิ่งเหล่านี้นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นอยู่ในยิสเรเอล ข้างพระราชวังของอาหับพระราชาแห่งสะมาเรีย 2 อาหับตรัสกับนาโบทว่า "จงให้สวนองุ่นของเจ้าแก่เราเถิดเพื่อเราจะได้ทำสวนผัก เพราะอยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าเพื่อแลกสวนนี้ หรือถ้าเจ้าเห็นชอบ เราจะให้เงินสมกับราคาสวนนั้น" 3 แต่นาโบททูลอาหับว่า "ขอพระเจ้าทรงห้ามข้าพระบาทในการที่จะยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ฝ่าพระบาท" 4 อาหับก็เสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัว และกลัดกลุ้มยิ่งนักด้วยเรื่องที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลตอบพระองค์ เพราะเขาได้กล่าวว่า

       "ข้าพระบาทจะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท" และพระองค์ก็เอนพระกายลงบนพระแท่น ทรงเบือนพระพักตร์ไม่เสวยพระกระยาหาร 5 แต่เยเซเบลมเหสีของพระองค์เข้ามาเฝ้าพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า "ไฉนพระจิตของฝ่าพระบาทจึงกลัดกลุ้มไม่เสวยพระกระยาหาร" 6 และพระองค์ตรัสตอบพระนางว่า "เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า "จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือมิฉะนั้นถ้าเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกแห่งหนึ่งแก่เจ้าเพื่อแลกกัน" และเขาตอบว่า "ข้าพระบาทจะไม่ให้สวนองุ่นของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท" 7 และเยเซเบลมเหสีของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "ฝ่าพระบาทเป็นผู้ครอบครองอิสราเอลอยู่หรือเพคะ เชิญเสด็จลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารเถิด และให้พระทัยของฝ่าพระบาทร่าเริง หม่อมฉันจะมอบสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลให้แก่ฝ่าพระบาทเอง" 8 พระนางจึงทรงพระอักษรในพระนามของอาหับ ประทับตราของพระองค์ส่งไปยังผู้ใหญ่และเจ้านายผู้อยู่ในเมืองกับนาโบท

       9 พระนางทรงพระอักษรว่า "จงประกาศให้ถืออดอาหาร และตั้งนาโบทไว้ในที่สูงท่ามกลางประชาชน 10 และตั้งคนถ่อยสองคนให้นั่งตรงข้ามกับเขา ให้ฟ้องเขาว่า "เจ้าได้แช่งพระเจ้าและพระราชา" แล้วพาเขาออกไปและเอาหินขว้างเสียให้ตาย" 11 และประชาชนของเมืองนั้น คือผู้ใหญ่และเจ้านายผู้อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ได้กระทำตามที่เยเซเบลมีพระอักษรสั่งไปถึงเขา ตามที่ปรากฏในลายพระหัตถ์ซึ่งพระนางทรงมีไปถึงเขานั้น 12 เขาได้ประกาศให้ถืออดอาหาร และได้ตั้งนาโบทไว้ในที่สูงท่ามกลางประชาชน 13 และคนถ่อยสองคนนั้นก็เข้ามา นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา และคนถ่อยนั้นได้ฟ้องนาโบทต่อหน้าประชาชนกล่าวว่า "นาโบทได้แช่งพระเจ้าและพระราชา" เขาทั้งหลายจึงพานาโบทออกไปนอกเมือง และขว้างเขาถึงตายด้วยก้อนหิน 14 แล้วเขาก็ส่งข่าวไปทูลเยเซเบลว่า "นาโบทถูกขว้างด้วยหิน เขาตายแล้ว" 15 พอเยเซเบลทรงทราบว่า นาโบทถูกขว้างด้วยหินตายแล้ว เยเซเบลจึงทูลอาหับว่า

       "ขอเชิญเสด็จลุกขึ้น ไปยึดสวนของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาได้ปฏิเสธไม่ขายให้แก่พระองค์เพราะว่านาโบทไม่อยู่เขาตายเสียแล้ว" 16 และอยู่มาพออาหับทรงทราบว่านาโบทตายแล้ว อาหับก็ทรงลุกขึ้นไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์

       พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า กษัตริย์อาหับอยากได้ที่ดิน ของนาโบท มาทำเป็นสวนผักหรือสวนสมุนไพรของตน เหตุเพราะที่ดินที่นาโบทใช้ทำสวนองุ่นนั้นมันติดกับพระราชวังของพระองค์

       กษัตริย์อาหับจึงคุยกับนาโบทว่า ยกที่ดินผืนนี้ให้กับฉันเถิด หรือจะให้ฉันซื้อและหรือจะให้ฉันหาที่แปลงใหม่และใหญ่กว่าเดิมให้ก็ได้ แต่นาโบทต้องตอบปฎิเสธไป

       เพราะตามธรรมเนียมของคนอิสราเอลแล้ว ของที่พระเจ้าประทานสิ่งใดให้กับผู้ใด ให้ถือรักษาสิ่งนั้นเป็นมรดกตกทอดให้ไปถึงรุ่นต่อๆไปเพราะฉะนั้นนาโบทถึงต้องพยายามรักษาไว้

       เพราะนี่เป็นกฏหมายที่ได้ระบุเอาไว้ว่าห้ามมีการซื้อขายกันถึงแม้ว่าจะมีใครเอาที่ดินไปจำนองจองจำก็ตาม แต่พอถึงปีสะบาโตคนที่รับจำนองต้องปลดปล่อยให้เขาได้รับอิสรภาพ

       เพราะนาโบทมีความรัก ความผูกพันกับที่ดินผืนนี้เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมกษัตริย์อาหับเสนอเอาที่ดินผืนใหม่และใหญ่กว่าเดิมมาให้นาโบท นาโบทถึงไม่สนใจ

       เมื่อกษัตริย์อาหับ ได้รับคำตอบนั้นแล้วถึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ พระนางเยเซเบลซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่ชั่วร้ายแห่งดินแดนฟินเซีย ถามกษัตริย์อาหับว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? กษัตริย์อาหับจึงเล่าให้นางเยเซเบลฟัง

       นางเยเซเบลฟังแล้ว ก็พูดกับสามีของตนว่า อาการหนักนะเนี่ย ? พร้อมกับถากถางสามีว่าเป็นกษัตริย์หรือเปล่าไม่มีอำนาจอะไรเลย พร้อมบอกกับสามีของตนว่าให้ลุกขึ้นไปกินข้าวได้แล้วเดี๋ยวเรื่องนี้จัดการให้เอง พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 8 - 14 ทำให้เราทราบถึงสิ่งที่พระนางเยซาเบลทำ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายทั้งสิ้น

       เมื่อพระเจ้าทรงมองลงมาและเห็นถึงสิ่งที่นาโบทถูกกระทำด้วยความชั่วร้ายของพระนางเยเซเบล และนาโบทได้ชื่อว่าเป็นคนที่ชอบธรรม พี่น้องคิดว่า เสียงโลหิตของนาโบทที่ตกลงพื้นดินจะฟ้องร้องต่อพระเจ้าไหมครับ ? และพี่น้องคิดว่าพระเจ้าจะเพิกเฉยๆในเรื่องของนาโบทไหมครับ ?

       ให้เราอ่านในข้อที่ 17 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 18 "จงลุกขึ้นไปพบอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล ผู้อยู่ในสะมาเรีย ดูเถิดเขาอยู่ในสวนของนาโบทที่เขาไปยึดเอาเป็นกรรมสิทธิ์ 19 เจ้าจงพูดกับเขาว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ท่านได้ฆ่าและได้ยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยหรือ" และเจ้าจงพูดกับเขาว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ในที่ซึ่งสุนัขเลียโลหิตของนาโบท สุนัขจะเลียโลหิตของเจ้าด้วย" 20 อาหับตรัสกับเอลียาห์ว่า "โอ ศัตรูของข้าเอ๋ย เจ้าพบข้าเข้าแล้วหรือ" ท่านทูลตอบว่า "ข้าพระบาทพบฝ่าพระบาทเข้าแล้ว เพราะว่าฝ่าพระบาทยอมขายพระองค์เข้ากระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า

       21 ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเจ้า เราจะกวาดเจ้าออกไปเสียให้สิ้นเชิง และจะกำจัดผู้ชายทุกคนเสียจากอาหับ ทั้งทาสและเสรีชนในอิสราเอล 22 และเราจะกระทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัม บุตรเนบัท และเหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรอาหิยาห์ เพราะเจ้าได้กระทำให้เราโกรธ และเพราะเจ้าได้กระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย 23 และส่วนเยเซเบล พระเจ้าตรัสว่า "สุนัขจะกินเยเซเบลภายในเขตยิสเรเอล" 24 ผู้ใดในวงศ์อาหับที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และผู้อยู่ในวงศ์เขาที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน" 25 ไม่มีผู้ใดได้ขายตนเองเพื่อกระทำความชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอย่างอาหับ ผู้ที่เยเซเบลมเหสีได้ยุแหย่ 26 พระองค์ทรงกระทำสิ่งอันน่าเกลียดน่าชังยิ่งนักในการที่ดำเนินตามรูปเคารพ ดังคนอาโมไรต์ได้กระทำ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเหวี่ยงออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า นี่คือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากการกระทำของตนในเรื่องของที่ดินของนาโบท

       สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราในเช้าวันนี้คือ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องของ คาอิน กับ อาเบล หรือ ไม่ได้เป็นเรื่องของ นาโบท กับ นางเยเซเบล เท่านั้น

       แต่มันยังเป็นเรื่องของผู้เชื่อทุกคนด้วย ที่พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ แล้วเห็นถึงท่าทีและการกระทำของเราแต่ละคนว่า 1) เราพร้อมที่จะให้สิ่งดีที่เรามีเพื่อแผ่นดินของพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระองค์หรือไม่ 2 ) เรารักพระเจ้าด้วยคำพูดหรือด้วยการกระทำ 3 ) เราพร้อมที่จะรักษากฎเกณฑ์หรือกฎหมายของพระเจ้าเอาไว้หรือไม่

       พี่น้องที่รักครับ เมื่อเราเปิดใจออกและได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาสถิตและอยู่ภายในเรา

       ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอาเครื่อง CT Scan ติดตั้งไว้ภายในตัวของพวกเราทุกคน ด้วยเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงล่วงรู้ถึงภายในความคิดจิตใจและมองเห็นทุกการกระทำของเราทุกคนอย่างชัดเจน

       ฮบ.4:13 ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์

       พระคำของพระเจ้าจึงได้พูดอย่างชัดเจนใน ฮบ.4:13 แปลแบบเข้าใจง่ายว่า คุณหลอกมนุษย์ด้วยกันได้ แต่คุณไม่สามารถที่จะหลอกพระเจ้าได้

       เพราะฉะนั้น เมื่อเราเลือกที่จะเดินในทางของพระเจ้าแล้ว ก็ให้เราเดินด้วยความตั้งใจที่จะถวายพระเกียรติพระสิริแด่พระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงมองลงมาหรือทรงมองเข้ามาภายในชีวิตของเราพระองค์จะมองเห็นแต่สิ่งดีในชีวิตของเราเหมือนชีวิตของอาเบลหรือนาโบท

 

Green City