ผู้เชื่อหรือสาวก

คำเทศนาเรื่อง ผู้เชื่อหรือสาวก

ลก.14:25-33 คนเป็นอันมากได้ไปกับพระองค์ พระองค์จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับเขาว่า "ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ด้วยว่าในพวกท่านมีผู้ใดเมื่อปรารถนาจะสร้างป้อม จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่เกรงว่าเมื่อลงรากแล้ว และกระทำให้สำเร็จไม่ได้ คนทั้งปวงที่เห็นจะเริ่มเยาะเย้ยเขาหรือมีกษัตริย์องค์ใดเมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อื่น จะมิได้นั่งลงคิดดูก่อนหรือว่า ที่ตนมีพลทหารหมื่นหนึ่งจะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นนั้นได้หรือไม่ถ้าสู้ไม่ได้ เมื่อยังอยู่ห่างกันก็จะใช้พวกทูตไปขอเป็นไมตรีกันก็เช่นนั้นแหละ ผู้ใดในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้ และผมจะให้ชื่อคำเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ผู้เชื่อหรือสาวก”

พี่น้องที่รักครับ สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันนั่นก็คือว่า “ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์กับสาวกในพระเยซูคริสต์” นั้นมีความแตกต่างกันมากพอสมควร

คุณสมบัติของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ไม่มีอะไรมากครับ นอกจาก มานมัสการ ถวายทรัพย์ ฟังคำเทศนา กินข้าวและกลับบ้าน

แต่คนที่จะมาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ได้นั้นเราจะต้องผ่าน Process ซึ่งแปลว่า ขบวนการต่างๆจนมาจึงมาถึงจุดที่เรานั้นจะเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ได้

ในค่ายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่น้องยังจำคลิปเกี่ยวกับดอกไม้ได้ไหมครับ ? มีดอกไม้นานาภัณฑ์ชนิดต่างๆมากมายที่ท่าน อ.วงศ์พัชร ได้นำมาให้เราได้ชมกัน ก่อนที่ดอกไม้จะงามสะพรั่งนั้นมันต้องผ่านขบวนการต่างๆมาอย่างเยอะแยะมากมาย ชีวิตคริสเตียนของเราก็เช่นเดียวกัน

ก่อนที่เราจะมาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ได้นั้นเราต้องผ่านขบวนการอะไรมาก่อนพี่น้องจำได้ไหมครับ ?

ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าใน มก.16:15  ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน”

ประการที่ 1 ผ่านการประกาศ ผ่านการเป็นพยาน

โดยส่วนมากพวกเราทุกคนต้องผ่านการประกาศ ผ่านการเป็นพยานมาก่อนทั้งสิ้น มีใครบ้างไหมครับ ? ที่อยู่ดีๆเดินเข้ามาที่คริสตจักรฯ แล้วบอกกับใครบางคนในโบสถ์ว่า พี่ๆผมอยากมาสมัครเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ครับ

ในขณะเดียวกันเมื่อเราประกาศ เมื่อเราเป็นพยาน ทุกคนรับเชื่อหมดเลยไหมครับ ? ให้เรามาดูคำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืชหรือคำอุปมาเกี่ยวกับดิน 4 ชนิดด้วยกันอยู่ใน

มธ.13:1-8 “ในวันนั้นเองพระเยซูได้เสด็จจากเรือนไปประทับที่ชายทะเลมีคนพากันมาหาพระองค์มากนัก พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และบรรดาคนเหล่านั้นก็ยืนอยู่บนฝั่งแล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมาว่า "ดูเถิด มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืชและเมื่อเขาหว่าน (1)เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย (2)บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึกแต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป (3) บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย (4) บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

คำว่า “เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง” แล้วนกก็มากินเสีย ทำให้เราทราบว่า ในทุกครั้งที่เมื่อเราประกาศ เมื่อเราเป็นพยาน ไม่ใช่ทุกคนจะรับเชื่อในพระเจ้า

ส่วนคนที่รับเชื่อในพระเจ้าแล้วก็อย่าเพิ่งวางใจ คำว่า บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึกแต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป

ผู้เชื่อประเภทนี้จะเป็นผู้เชื่อแบบ ไฟไหม้ฟาง เมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐานแล้วรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ขอมาเป็นพยานที่โบสถ์ว่าพระเจ้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอพระเจ้าเงียบ ตอบคำอธิษฐานแบบไม่ตอบ เขากับสงสัยพระเจ้าแล้วสุดท้ายละทิ้งพระเจ้าไปเสีย นี่คือผู้เชื่อแบบไฟไหม้ฟาง บัพติสมาและบัพติสไป เป็นผู้เชื่อแบบชนิดที่ 2

(3) บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย ผู้เชื่อประเภทนี้เติบโตแต่เมื่อถึงจุดหนึ่งตัน…ไปต่อไม่ได้…

พอมีปัญหาเกิดขึ้น สนองตอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยเนื้อหนังมากกว่าด้วยพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้กล่าวเตือนเราว่า ส่วนคนที่รับเชื่อในพระเจ้าแล้วก็อย่าเพิ่งวางใจให้ดูชีวิตของเขาก่อน

(4) บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” ในขณะเดียวกันองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงหนุนใจเราด้วยว่า ในส่วนของคนที่เราประกาศนั้นก็จะมีคนในกลุ่มที่ 4 นี้ด้วยนั่นคือ ผู้เชื่อที่เป็นดินดี คนเหล่านี้แหละที่จะร่วมในนิมิต ร่วมในปรัชญา ร่วมในเป้าหมาย ร่วมปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า อีกทั้งมีการสนองตอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยพระวจนะของพระเจ้า

คำถามคือว่า ทำไมพระองค์ถึงให้ภาพของคำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืชหรือคำอุปมาเกี่ยวกับดิน 4 ชนิดนี้แก่เรา ?

คำตอบก็คือว่า เพราะองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงทำเรื่องนี้ในทุกวัน พระองค์จึงมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงมีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ และการได้ยินเรื่องราวของพระองค์ก็เป็นขั้นตอนแรกในการเป็นสาวกของพระองค์

สิ่งสำคัญที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงพูดในการประกาศเป็นพยานทุกครั้งนั่นก็คือ ความจริง ความจริงที่ว่านี้คือ เมื่อท่านมาเชื่อในเราแล้วพวกท่านจะต้องเจออะไรบ้าง ดังนั้นเมื่อพวกท่านได้ฟังดังนี้แล้วและก่อนที่ท่านจะตัดสินใจท่านลองนั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนดีไหม ? ว่ามันคุ้มหรือไม่ ?

ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไรครับ ? ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้สนับสนุนให้ใครก็ตามที่จะมาติดตามพระองค์โดยไม่ได้นั่งลงและใช้ความคิดนะครับ

ส่วนความจริงของพวกเราคืออะไรครับ ? ความจริงของเราคือ คริสตจักรไทยและคริสตชนไทยนั้นไม่ค่อยประกาศ เป็นพยาน บางที่บางแห่งถึงจะประกาศ เป็นพยาน ก็ไม่ได้เป็นการประกาศแบบพระเยซู

Ex.1 เช่น บางคนประกาศว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว 1.จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอีกเลย 2.จะสวย รวย เริ่ด 3.รับเชื่อเลย รับวันนี้แหละ ตกลงเขารับเชื่อไหม ?

แต่พอเขากลับไปถึงที่บ้าน เขาก็ไปบอกลาพระเยซูที่บ้านด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คุณภาพของผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเราจึงอะไรก็ไม่รู้

ขบวนการเติบโตจากการเป็นผู้เชื่อ ไปสู่การเป็นสาวกของพระเยซูประการที่ 2 คือ การใคร่ครวญภาวนา

เรารับเชื่อในพระเจ้าในพระเยซูคริสต์โดยไม่อ่านพระคำได้ไหมครับ ? คริสเตียนไม่อธิษฐานมารแทรกความคิด คริสเตียนไม่ติดสนิทชีวิตมีปัญหา คำว่า “ติดสนิท” ในที่นี้คือ ชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้านะครับ ไม่ใช่แต่สนิทกับอะไรก็ได้ไม่ใช่นะครับ

สดด.1:1-3 บุคคลผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย ผู้นั้นก็เป็นสุขแต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์ เขาไตร่ตรองถึงพระราชบัญญัติของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาจะเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็จะไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จะจำเริญขึ้น

ในการประกาศ ในการเป็นพยานขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น พระองค์ทรงบอกกับทุกคนว่า ถ้าท่านจะเป็นสาวกของเราท่านจะต้องรักในการใคร่ครวญและภาวนาของเราและพระพรผ่านการภาวนาพระคำที่ท่านจะได้รับนั้นเป็นอย่างใน สสด.1:1-3 ให้ท่านนั่งลงคิดพิจารณาก่อนว่าท่านพร้อมหรือไหม ?

คำถามคือว่าพี่น้องมีความเข้าใจอะไรบางอย่างในคำสอนนี้บ้างไหมครับ ?

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า นี่เป็นขบวนการที่สำคัญที่จะทำให้เรานั้น “หยั่งรากลึกลง” ในการที่จะเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้าหรือในการเป็นสาวกของพระองค์ การใคร่ครวญภาวนาพระคำของพระเจ้าทำให้รากในฝ่ายวิญญาณของเรานั้นลึกลงกับพระเจ้า

คริสเตียนที่ใคร่ครวญภาวนาพระคำจะหนักแน่นมั่นคง

1.ใครมาชวนไปพยานพระเยโฮวาห์เราจะไปไหมครับ ? ไปไม่ได้เพราะหลักข้อเชื่อของเรามันไปด้วยกันไม่ได้

2.ใครจะมาชวนเราไปนี่นั่นนู่นเราจะไปไหมครับ ? เราจะขออธิษฐานก่อน เพราะคริสเตียนเริ่มต้นทุกสิ่งด้วยการอธิษฐานและอะไรก็ตามที่มาจากพระเจ้าจริงๆมันจะมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดี

ใครมาอ้างว่ามีของประทานเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราจะเชื่อเขาแบบไม่มีอะไรรองรับไหมครับ ? เราต้องดูชีวิตของผู้อ้างว่ามีของประทานนั่นนี่นู่นด้วยว่า เขามีของประทานนั้นจริงหรือไม่

คำถามคือว่า เราจะภาวนาพระคำของพระเจ้าอย่างไร ?

Ex. เช่น “ความรัก” ความรักของพระเจ้าเป็นอย่างไร ? นั่นเป็นสิ่งที่พี่น้องต้องใคร่ครวญภาวนา แล้วมันจะออกมา ออกมามากขึ้นและมากขึ้นมากขึ้นและเมื่อรากลึกลงเขาจะไม่เกิดความสงสัยในความรักของพระเจ้า

ผู้เชื่อหลายคนนะครับที่มีคำถามกับพระเจ้า มีความสงสัยในพระเจ้า นั่นแสดงว่า เขาขาดการอ่านแบบใคร่ครวญภาวนาเขาจึงไม่ได้หยั่งลึกลง

ขบวนการเติบโตจากการเป็นผู้เชื่อ ไปสู่การเป็นสาวกของพระเยซูประการที่ 3 คือ การตัดสินใจ

พี่น้องจำได้ไหมครับว่า สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าพูดนั่นคืออะไร ? สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าพูดนั่น คือ ความจริงในเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์ สิ่งที่พระเยซูพูดนั่น คือ สิ่งที่จะตามมาในภายหลังต่อการตัดสินใจของคนๆนั้นในการที่จะมาติดตามพระองค์

ด้วยเหตุผลนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงสนับสนุนให้ทุกคนที่จะติดตามพระองค์นั้นนั่งลงและใช้ความคิดให้ดีๆก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจว่า ” “ทำไมคุณต้องเชื่อพระเจ้า” “คุณมาเชื่อพระเจ้าเพราะอะไร”

และเมื่อใครก็ตามที่ตัดสินใจที่จะเชื่อในพระเจ้าหรือตัดสินใจในการเป็นพลเมืองของพระเจ้าหรือเป็นพลเมืองในอาณาจักรของพระองค์แล้ว พระเจ้าก็ปรารถนาให้พวกเราทุกคนนั้นได้เอาจริงเอาจังกับพระเจ้าด้วย

คำถามคือว่า รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงพระประสงค์เช่นนี้ ?

ลก.10:27 เขาทูลตอบว่า "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า" และนี่เป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์

ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือว่า คริสเตียนไทยเกือบ 1% ต่างรับเอาพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแต่กับไม่ได้รับเอาพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตอย่างสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดกับพระเจ้า

พี่น้องคริสเตียนคนหนึ่งซึ่งในอดีตเขาเคยรับเชื่อมาจากคริสตจักรแห่งหนึ่งในกรุงเทพ และมาร่วมประชุมนมัสการที่โบสถ์ของเราเมื่อหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยมาเป็นพยานให้พี่น้องของเราฟังว่า เขาเคยท้าทายพระเจ้าให้ช่วยเขาในเรื่องการถูกฟ้องร้องในเรื่องหนี้สิน อีกทั้งอยากให้พระเจ้าช่วยเหลือให้เขาขายบ้านที่ริมแม่น้ำแม่กลองให้ได้สัก 20 ล้าน เพื่อจะนำเงินที่ขายบ้านได้ไปใช้หนี้และส่วนที่เหลือจะแบ่งปับพี่น้อง ซึ่งวันที่เขาไปขึ้นศาล เขาเป็นพยานว่าเขายังหนีบพระคัมภีร์ของพระเจ้าไปขึ้นศาลด้วยและในที่สุดพระเจ้าก็ช่วยเหลือเขาให้ทุกอย่างจบลงอย่างสวยงาม แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อพระเจ้าท้าทายคุณกลับบ้างผ่านคนของพระเจ้าในเรื่องของการถวายเขากับไม่ยอม

ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่ใช่พี่คนนี้คนเดียวนะครับที่ไม่ยอม แท้จริงแล้วยังมีคริสเตียนมากมายหลายคนที่ท้าทายกับพระเจ้า แต่พอถึงเวลาที่พระเจ้าท้าทายคุณกลับบ้าง แต่หลายคนกลับไม่ยอมและสุดท้ายก็หนีไปจากทางของพระเจ้า

วันนี้พระเจ้าอยากตรัสถามพี่น้องผ่านทางการเทศนาในเช้าวันนี้ว่า 1.คุณถึงตัดสินใจมาเชื่อพระเจ้าทำไมและเพราะอะไร ? และในการตัดสินใจนั้น คุณได้ตัดสินใจเชื่อในพระเจ้าอย่างสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดด้วยหรือไม่ ? และถ้าในเช้าวันนี้พระเจ้าต้องการที่จะท้าทายคุณกลับคืน คุณจะยอมหรือไม่ ?

วันนี้พระเจ้าอยากตรัสถามพี่น้องผ่านทางการเทศนาในเช้าวันนี้ว่า พี่น้องมาคริสตจักรนี้ทำไม เพราะอะไรและเพื่ออะไร ? เพราะมีคริสเตียนของเราจำนวนไม่น้อยเลยนะครับ ที่ไม่เคยได้คิดในเหล่านี้

ผมเคยถามน้องๆบางคนนะครับว่า ทำไมน้องถึงมาโบสถ์นี้น้องบางคนให้เหตุผลกับผมว่า หนูมาโบสถ์นี้ เพราะพ่อ-แม่พามาโบสถ์นี้ตั้งแต่หนูเล็กๆ หนูก็เลยมาโบสถ์นี้ตลอด หนูขอเป็น Fan Club นี้ตลอด

ผมก็เลยให้คำแนะนำเขาไปว่า แท้ที่จริงแล้วพ่อ-แม่ของน้องเขาอธิษฐานกับพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำพ่อ-แม่ของน้องมาที่นี่ เขาเลยมาที่คริสตจักรแห่งนี้

แต่เมื่อน้องโตขึ้น น้องก็ต้องอธิษฐานกับพระเจ้า ที่พระเจ้าจะทรงนำน้องไปที่คริสตจักรไหน ถ้ามีสันติสุข มีความชื่นชมยินดีที่อยู่ที่นี่ นั่นก็แสดงว่า พระเจ้าทรงนำให้น้องอยู่ที่นี้และนี่น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ดังนั้นพี่น้องต้องตอบให้ได้ว่า พี่น้องมาคริสตจักรนี้ทำไม เพราะอะไรและเพื่ออะไร ? สันติสุขและความชื่นชมยินดีในการมาที่คริสตจักรฯแห่งนี้ยังดีอยู่ไหม ? แล้วเราจะมีส่วนในการร่วมปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าร่วมกับคริสตจักรฯของพระองค์แห่งนี้ได้อย่างไร ?

ขบวนการเติบโตจากการเป็นผู้เชื่อ ไปสู่การเป็นสาวกของพระเยซูประการที่ 4 คือ การลงมือปฎิบัติ

มีคำพูดหนึ่งกล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า ความเชื่อของเรากำหนดพฤติกรรมของเรา ดังนั้นถ้าเราเชื่อว่าองค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่งสูงสุด สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญพฤติกรรมของผู้ที่เป็น “สาวก” ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจะเฉยๆได้ไหมครับ ?

ดินชนิดที่ 2 อาจจะเฉยๆ ดินชนิดที่ 3 อาจจะลงมาทำบ้าง ไม่ทำบ้าง แล้วแต่อารมณ์ความรู้สึก แต่ดินชนิดที่ 4 หรือสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เขาจะรักในพระมหาบัญชาของพระเจ้าใน มธ.28:19-20 “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิดเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน"

เพราะ มธ.28:19-20 ถือได้ว่าเป็นหัวใจของพระบิดา ดังนั้นผู้ที่เป็นสาวกของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็จะต้องลงมือทำในสิ่งที่เป็นหัวใจของพระบิดาด้วยความ 1.แน่วแน่ 2.มุ่งมั่น 3.ตั้งใจเพื่อให้แผนการณ์และน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นสำเร็จ

ทำอย่างแน่วแน่ มุ่งมั่น ตั้งใจ ทำกันอย่างไร ? ให้เรามาดูจากคลิป 2 คลิปนี้ด้วยกัน

คำตอบคือ ทำด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด สุดจิตวิญญาณและสุดลมหายใจของเรา พี่น้องไม่ต้องห่วงเรื่องที่พี่น้องจะต้องตาย ผมอยากจะบอกกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า ถ้าหัวใจของพี่น้องไม่พร้อมที่จะตายเพื่อแผ่นดินของพระเจ้าเพื่ออาณาจักรของพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ให้พี่น้องไปสู่จุดนั้นอย่างแน่นอน สิ่งที่พระองค์จะทำนั่นคือ พระองค์ก็จะมองหาคนที่มีหัวใจที่พร้อม เพราะฉะนั้นพี่น้องไม่ต้องห่วง

แต่สิ่งที่พี่น้องทำได้ เช่น การตายกับตัวเก่า เป็นต้น แต่พี่น้องไม่ทำให้กับพระองค์ อันนี้มันคืออะไร ? อันนี้เป็นคำถามที่พี่น้องจะต้องตอบให้ได้ว่า แท้จริงแล้วพี่น้องเป็นผู้เชื่อหรือสาวกและหรือเป็นดินชนิดไหนกันแน่ ? ขอพระเจ้าเมตตาที่คริสตจักรของพระองค์ที่นี่จะมี 1.ผู้เชื่อที่เป็นดินชนิดที่ 4 มากกว่าชนิดอื่นๆ 2.สาวกมากกว่าผู้เชื่อ อาเมน

สรุป ขบวนการเติบโตจากการเป็นผู้เชื่อไปสู่การเป็นสาวกของพระเยซู

ประการที่ 1 ผ่านการประกาศ ผ่านการเป็นพยาน

1.1 ไม่รับ        1.3 เติบโตแต่เมื่อถึงจุดหนึ่งไปต่อไม่ได้

1.2 ไฟไหม้ฟาง 1.4 ดินดีมีคุณภาพสนองตอบต่อปัญหาได้ดี

ประการที่ 2 การใคร่ครวญภาวนา

ประการที่ 3 คือ การตัดสินใจ

ประการที่ 4 คือ การลงมือปฎิบัติ

Green City