ผลดีของของใจที่ถ่อมและผลร้ายของใจที่แข็งกระด้าง

คำเทศนาเรื่อง ผลดีของของใจที่ถ่อมและผลร้ายของใจที่แข็งกระด้าง

คำเทศนาในเดือนที่ผ่านมาโดยส่วนมากพี่น้องก็จะได้รับประทานอาหารประเภท ขนมปังแซนด์วิช , สปาเก็ตตี้ , ฟิซซ่า เพิ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาใช่ไหมครับ ? ที่พี่น้องเริ่มกลับมากินอาหารแบบไทยๆประเภทกะเพราไก่ไข่ดาวกันเป็นสัปดาห์แรก ซึ่งพี่น้องจะรับประทานอาหารแบบไทยๆนี้ไปอีกสัก 8 สัปดาห์ คราวต่อไปพี่น้องก็จะได้รับประทานอาหารไทยสลับกับอาหารฝรั่งเหตุเพราะอาสาสมัครจาก Passport Team จะมารับใช้ร่วมกับคริสตจักรประมาณ 2.5 เดือนซึ่งขณะนี้อยู่ Process ที่กำลังคุยกันอยู่

และในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ยน.12:36-43 “เมื่อท่านทั้งหลายมีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง" เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จจากไป และซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการทีเดียวต่อหน้าเขา เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์ ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะซึ่งว่า พระองค์เจ้าข้า ผู้ใดจะเชื่อสิ่งที่เราได้ประกาศและพระกรของพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่ได้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลายและทำใจของเขาทั้งหลายให้มืดมัวไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขาและเข้าใจด้วยจิตใจของเขาและหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย อิสยาห์กล่าวดังนี้เมื่อท่านได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ และได้กล่าวถึงพระองค์อย่างไรก็ดีแม้ในพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อในพระองค์ด้วย แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เกรงว่าเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลาเพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ผลดีของของใจถ่อมและผลร้ายของใจที่แข็งกระด้าง” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่น้องที่รักครับ มีคำโบราณคำหนึ่งกล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ซึ่งคำโบราณคำนี้ ผมก็ไม่รู้จริงๆนะครับว่า ใครหรือผู้ใดที่เป็นคนกล่าวคำโบราณนี้เอาไว้ แต่ผมคิดว่ามันเป็นคำกล่าวที่น่าคิดมาก

คำถามคือว่า เพราะอะไรมันถึงเป็นคำกล่าวที่น่าคิด ? สำหรับผมแล้วคำกล่าวคำนี้ มันค่อนข้างสอดคล้องกับพระคำของพระเจ้า

พี่น้องยังจำได้ใช่ไหมครับว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดิน แต่การระบายลมปราณหรือจิตวิญญาณของพระองค์ลงไปเป็นเหตุให้มนุษย์นั้นจึงเป็นผู้ที่มีชีวิต มนุษย์จึงกระดุกกระดิกและเคลื่อนไหวไปมาได้

ดังนั้นอะไรจึงสำคัญกว่ากันครับพี่น้องระหว่างฝ่ายกายภาพกับฝ่ายจิตวิยญาณ ? ความคิด จิตใจและจิตวิญญาณของมนุษย์นั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ดังนั้นคำว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” คำนี้จึงแปลความว่า เราจะต้องให้ความคิด จิตใจและจิตวิญญาณของเรานั้น เป็นแหล่งแห่งกองบัญชาการในการนำชีวิตในฝ่ายกายภาพหรือเป็นผู้นำในฝ่ายเนื้อหนังของเรา

พระคำของพระเจ้าในภาคพันธสัญญาเดิมใน สภษ.4:23 จึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ว่า “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะแหล่งแห่งชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ”

พระคำของพระเจ้าในภาคพันธสัญญาใหม่ใน มธ.6:33
จึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน”

พระเจ้าต้องการที่จะถามพี่น้องในเช้าวันนี้ว่า ? เวลานี้พี่น้องกำลังดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า คือ ให้จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวอย่างนี้หรือไม่

ในทางตรงกันข้าม ถ้าพี่น้องกำลังดำเนินชีวิตในโลกใบนี้โดยให้อารมณ์ ความรู้สึก สังคม สิ่งแวดล้อมเป็นนายและให้จิตใจและจิตวิญญาณของพี่น้องนั้นเป็นบ่าว พระเจ้ากำลังจะบอกกับพี่น้องในเช้าวันนี้ว่า พี่น้องกำลังเดินสวนทางกับน้ำพระทัยของพระเจ้า

มีพี่น้องคริสเตียนจำนวนไม่น้อยเลยนะครับ ที่พูดกับผมว่า อาจารย์ครับฝากอธิษฐานเผื่อผมด้วยนะครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่

ผมก็ถ้ากลับไปว่า แล้วคุณจะไปแสวงหาที่ไหนล่ะ ? จะขึ้นภูเขาไปอธิษฐาน , จะไปถืออดอาหารอธิษฐาน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ในทัศนะของผมนั้น น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นมีอยู่ในพระวจนะเรียบร้อยแล้ว พี่น้องเพียงแต่อ่าน แล้วเดินตามพระคำของพระเจ้า นั่นก็เท่ากับพี่น้องได้ดำเนินชีวิตที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว อาเมน

พี่น้องที่รักครับ ใจคนนั้นมี 2 ประเภท

ประเภทแรกคือ ใจอ่อนสุภาพ ตัวอย่างเช่น พี่น้องฟังคำเทศนาในเช้าวันนี้แล้ว และพี่น้องรู้สึกว่าพระเจ้าพูดกับเรา และเรานำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แก้ไขและพัฒนาให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่คือใจถ่อมสุภาพ เป็นแนวทางขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

ประเภทที่ 2 คือ ใจแข็งกระด้าง ตัวอย่างเช่น พี่น้องฟังคำเทศนาในเช้าวันนี้แล้ว และพี่น้องรู้สึกว่าพระเจ้าพูดกับพี่น้อง ซึ่งบางเรื่องที่พระเจ้าพูดก็เป็นความบาปของพี่น้องนั่นแหละ แต่พี่น้องไม่รีบนำไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขและพัฒนาให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่คือใจที่แข็งกระด้าง ซึ่งใจที่แข็งกระด้างนี้จะส่งผลกระทบต่อตัวเองและผู้อื่น ซึ่งแนวทางนี้เป็นแนวทางของใครครับ ? ของมาร

พระคำของพระเจ้าก่อนหน้านี้อยู่ใน ยน.11:38-44 บอกกับเราใช่ไหมครับว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงเรียกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นมาจากความตายซึ่งโดยแท้จริงแล้วพวกยิวนั้นเป็นชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรเอาไว้และพวกเขาก็อยู่กับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยในเหตุการณ์นั้น ซึ่งเขาน่าจะเป็นพวกแรกที่ดีใจ ที่พวกเขาได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำ

แต่เปล่าเลย พวกเขากับหยิ่ง พวกเขากับทรนงในความเป็นนักปราชญ์แห่งตนเพียงเพื่อที่จะรักษาศาสนาที่พวกเขาคิดเห็นว่าดี ซึ่งไม่เพียงเท่านั้นพวกฟาริสีมักจะชอบใช้ธรรมบัญญัติพิพากษาคนแล้วฆ่า เกินเลยไปถึงการคิดที่จะใช้ธรรมบัญญัติพิพากษาแล้วฆ่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วย เป็นใจที่แข็งกระด้างที่ไร้ซึ่งความเมตตาปราณี

นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องราวของพวกฟาริสีหรือธรรมาจารย์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องราวของพวกเราด้วย ถ้าพี่น้องดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าโดยเอากายเป็นนาย เอาจิตเป็นบ่าว ถ้าพี่น้องเอาอารมณ์ ความรู้สึก เอาสังคม สิ่งแวดล้อมเป็นตัวนำในการดำเนินชีวิตคริสเตียนของพี่น้อง พี่น้องก็ไม่ต่างอะไรจากพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ที่พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้

คือ หยิ่ง ทระนง ทำผิดน้ำพระทัยพระเจ้าซ้ำซากและที่สุดของที่สุดของคนที่มีใจแข็งกระด้างคืออะไรพี่น้องทราบไหมครับ ?

พี่น้องที่รักครับ ทุกหมายสำคัญและทุกการอัศจรรย์ทีองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั้น พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า มีคณะบุคคลพวกนี้อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆนั้นโดยตลอด แต่การที่พวกฟาริสีมีใจที่แข็งกระด้าง อีกทั้งไม่ยอมรับถึงสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั้น นั่นก็คือ การที่พวกเขาประกาศถึงการไม่ยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

พวกเราก็เช่นเดียวกัน หลายคนพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน หลายคนเห็นถึงการช่วยกู้ของพระเจ้า หลายคนเห็นถึงการอัศจรรย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำในชีวิตของพี่น้องเองและผู้อื่น

แต่ถ้าพี่น้องยังเป็นผู้เชื่อที่ใจแข็งกระด้าง นั่นก็เท่ากับว่า พี่น้องกำลังประกาศถึงการไม่ยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหมือนกับพวกฟาริสีที่พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องนั่นก็คือว่า การกระทำทุกอย่างไม่ว่าการกระทำนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตามนั้นมันมีผลกระทบทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น

สิ่งที่ลูซิเฟอร์ได้กระทำบนฟ้าสวรรค์ ซึ่งพระคำของพระเจ้าใน อสย.14 :12-15 ได้มีการบันทึกเอาไว้นั้นมีผลกระทบต่อตัวเขาไหมครับ ?

สิ่งที่อาดัมกับเอวากระทำในสวนเอเดนมีผลกระทบไหมครับ ?

สิ่งที่อาคานได้กระทำกับคนในชุมชนมีผลกระทบไหมครับ ?

สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำมีผลต่อมวลมนุษยชาติหรือต่อโลกไหมครับ ?

ดังนั้นการกระทำทุกอย่างไม่ว่าการกระทำนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตามมันมีผลกระทบทั้งสิ้น

ผลร้ายประการที่ 1 จากการที่ฟาริสีใจแข็งกระด้างต่อพระเจ้า ยน.12:36 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “พระองค์จากเขาไปและซ่อนพระองค์จากเขา”

คำถามของผมคือว่า อยู่ๆพระเจ้าจะเดินจากพวกเขาไปเฉยๆใช่หรือไม่?

แต่การที่พระเจ้าต้องเดินจากพวกเขาไปเพราะ อ่อนสุภาพกับแข็งกระด้างมันอยู่ด้วยกันได้ไหมครับ ? ซึ่งนั่นเองเป็นเหตุทำให้พระเจ้าจำเป็นจะต้องเดินจากพวกเขาไป

พระคำของพระเจ้าในยน. 8:12 ตรัสดังนี้ว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"

พี่น้องที่รักครับ เมื่อความความมืดได้เข้ามาปกคลุมชีวิตของผู้เชื่อ เหตุเพราะพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นความสว่างนั้นได้เดินออกจากไปจากชีวิตของเขาแล้ว พี่น้องคิดว่าแล้วชีวิตของคนๆนั้นจะเป็นอย่างไรครับ ? บางคนก็ขาดพระพรของพระเจ้า , บางคนก็รับพระพรของพระเจ้าแบบไม่เต็มที่ , บางคนก็เหนื่อยเปล่า , บางคนก็ถูกพระเจ้าตีสอน นี่เป็นผลจากการที่เขามีใจที่แข็งกระด้าง

            ดังนั้นพี่น้องต้องระมัดระวังจิตใจของพี่น้องให้ดี อย่าให้จิตใจของพี่น้องนั้นแข็งกระด้าง เพื่อที่พี่น้องจะได้เป็นผู้รับพระพรมาก ไม่ใช่ฟังพระคำแล้วก็ดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณทั้งพูด , ทั้งเตือนแล้วก็ยังดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ผลร้ายทั้งหมดจะตกอยู่ที่ตัวของพี่น้องและครอบครัวตลอดจนถึงวงศ์วานญาติเครือของพี่น้องเองทั้งหมด เหมือนกับคนอิสราเอลในเวลานี้ที่ทำไมครับ ?

ถ้าพี่น้องเคยไปอิสราเอลนะครับพี่น้องก็จะพบว่า พวกเขาต้องตื่นตั้งแต่เช้าแล้วจูงลูกเล็กเด็กแดงไปที่กำแพงร้องไห้ เพื่ออธิษฐานอ้อนวอนต่อพระเมสสิยาห์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วพระเมสสิยาห์นั้นได้เสด็จมาแล้ว และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ได้ทรงบอกกับพวกเขาตั้งหลายครั้งแล้วว่า พระองค์นั่นแหละคือ พระเมสสิยาห์ แต่พวกเขากับมีจิตใจที่กระด้าง ไม่เชื่อฟัง ผลร้ายจึงตกกับพวกเขาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งและเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยคริสตกาลจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาเกือบสองพันปีแล้ว

            ผลร้ายประการที่ 2 จากการที่ฟาริสีนั้นมีจิตใจแข็งกระด้างต่อพระเจ้า พระคำของพระเจ้าอยู่ในยน.12:37-39 คือ ทำให้พวกเขาหูหนวกตาบอดในฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งถ้าพี่น้องอ่านแล้วหยุดตรงที่ผมบอกให้พี่น้องหยุดเมื่อสักครู่นี้ พี่น้องก็จะรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับพระลักษณะของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเป็นความรักใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นให้พี่น้องอ่านต่อในข้อที่ 40 พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลายและทำใจของเขาทั้งหลายให้มืดมัวไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขาและเข้าใจด้วยจิตใจของเขาและหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย ดังนั้นก่อนจะตีความพระคำของพระเจ้านั้นต้องอ่านให้ครบสมบูรณ์ อ่านให้ครบบริบท

            กลับมาที่พระคำของพระเจ้า พี่น้องที่รักครับ พระเจ้าเป็นความรักเป็นความเมตตานั้นเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องการลงโทษนั้นพระองค์ก็ทรงเด็ดขาดด้วยเช่นเดียวกัน

            พี่น้องจะต้องไม่ลืมนะครับว่าอิสราเอลนั้นเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกไว้ตั้งแต่แรก พี่น้องจะต้องไม่ลืมนะครับว่าพวกเขานั้นได้เห็นถึงการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำมาอย่างมากมาย

            ซึ่งในทางของคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้น เขาต้องเห็นก่อนเขาถึงจะเชื่อ ตรงข้ามกลับทางของพระเจ้าที่ต้องเชื่อก่อนแล้วถึงจึงจะได้เห็น แต่พวกยิวเป็นชนชาติที่ได้เห็นและได้เห็นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เชื่อ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นพวกแรกที่ควรจะได้รับพระพรจากพระเจ้า แต่การที่เขามีใจแข็งกระด้าง พวกเขาจึงกลายเป็นผู้ขาดพระพรและรับภัยจากการกระทำของตัวเอง

            ผลแห่งการที่พวกเขามีจิตใจที่แข็งกระด้าง คือ ถูกปรับโทษ เวลานี้พวกเขาจึงต้องไปอ้อนวอนต่อพระเจ้าที่กำแพงร้องไห้เป็นประจำทุกปีจากรุ่นสู่รุ่นและนี่เป็นผลแห่งบาดแผลจากการที่พวกเขามีความรู้เป็นนาย มีจิตวิญญาณเป็นบ่าว ความเป็นผู้ที่รู้ดีในธรรมบัญญัติของพวกเขานั้นจึงเป็นอุปสรรคในการที่จะทำให้พวกเขานั้นเข้าหาองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

            แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาให้จิตวิญญาณเป็นนาย ให้ความเป็นผู้ที่รู้ดีทางธรรมบัญญัติเป็นบ่าว พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระองค์ไม่เพียงแต่จะทรงเยียวยาและรักษาบาดแผลของเขาให้หายเท่านั้นแต่พระองค์จะทรงอำนวยพระพรแก่เขาด้วย

            เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก เมื่อใดก็ตามที่เราให้จิตวิญญาณของพระเจ้าเป็นนาย ให้เนื้อหนังมังสา ให้อารมณ์ ความรู้สึก ให้ความสังคม สิ่งแสดล้อมเป็นบ่าว เราเองก็จะได้รับความรัก ความเมตตาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกัน

            ดังนั้นที่ผ่านมา ถ้าพี่น้องรู้สึกว่าท่านมีใจที่แข็งกระด้างจากพระเจ้า วันนี้พระเจ้าทรงเตือนท่านผ่านทางพระคำของพระองค์ จึงยังไม่สายเกินไปที่ท่านจะเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า และนั่นคือผลร้าย 2 ประการจากการที่ฟาริสีนั้นมีจิตใจที่แข็งกระด้างต่อพระเจ้า

           

            คราวนี้เรามาดูผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงกันบ้าง

ผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงประการที่ 1อยู่ในปฐก.28:15 “ดูเถิด เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป และจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินนี้ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าจนกว่าเราจะได้ทำสิ่งซึ่งเราพูดกับเจ้าไว้นั้นแล้ว"

ผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงคือ พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา อีกทั้งพระองค์จะทรงพิทักษ์รักษาเราในทุกหนและในทุกแห่งที่เราก้าวไป ไม่เพียงเท่านั้นพี่น้องที่รักครับ พระเจ้าจะนำเรากลับไปยังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าพี่น้องบอกว่าพระองค์เจ้าข้า มันยังไม่ใช่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ พระเจ้าก็จะไม่หยุดเราไว้ที่ตรงนั้น พระองค์ก็จะทรงนำเราต่อไป สุดยอดไหมครับพี่น้อง

ผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงประการที่ 2อยู่ใน อพย.33:14 ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า "เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก"พี่น้องที่รักครับ ตลอดชีวิตของมนุษย์เรานั้นต่างมีเรื่องราวมากมายที่ทำให้เราเองนั้นต้องเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ

แต่เมื่อพี่น้องเดินกับพระเจ้าด้วยใจที่ถ่อมลง ไม่เพียงแต่พระเจ้าจะพิทักษ์รักษาเจ้าในทุกหนและในทุกแห่งที่เจ้าไป และจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น แต่เมื่อพี่น้องเหนื่อย พระเจ้าจะให้พี่น้องได้พักขอเพียงแต่พี่น้องที่จะมีความเชื่อและความไว้วางใจในพระองค์เท่านั้นว่าทุกอย่างพระองค์จะ Take Care เอง

ขอบคุณพระเจ้านะครับ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาผมกับ อ.ดาร์ไปรับใช้ในงานสัปดาห์ชีวิตคู่ที่กรุงเทพฯ การไปรับใช้ในพันธกิจนี้ทุกครั้งผมต้องใช้เงินส่วนตัว ผมต้องออกเงินเองนะครับ ครั้งนี้หมดไปหมื่นกว่าบาท

ท่าน อ.สวนีย์ พูดกับผมว่า อาจารย์ไปเถิดที่เหลือพี่ Take Care เองอาจารย์จะให้พี่ไปค้างคืนวันศุกร์ไหม ? ผมตอบว่า ผมไม่รบกวนอาจารย์ถึงขนาดนั้นครับ แต่เบื้องหลังของคำพูดของท่าน อ.สวนีย์ ใครเป็นคนพูดครับ ? พระเจ้านั่นแหละเป็นคนพูด

ผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงประการที่ 3อยู่ใน ฉลธ. 20:1 "เมื่อท่านทั้งหลายจะยกไปทำสงครามกับพวกศัตรูของท่าน เห็นม้า รถรบ และกองทัพมากมายใหญ่โตกว่าของท่าน ท่านอย่ากลัวเขาเลย เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงสถิตอยู่กับท่าน ผู้ทรงนำท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์”

พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า ในท่ามกลางวิกฤติการณ์ของชีวิตที่ดูเสมือนว่าพี่น้องจวนเจียนจะตายอยู่แล้วนั้น ขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า พระเจ้าทรงโปรดสถิตและอยู่ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นพระองค์จะทรงนำและทรงช่วยพี่น้อง ขอเพียงพี่น้องเป็นผู้ที่มีใจที่ถ่อมลงไม่ใช่แข็งกระด้างแล้วพี่น้องจะเป็นผู้ที่ได้รับพระพร แล้วพี่น้องจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในทุกๆครั้งที่พี่น้องจะต้องพบกับมรสุมในชีวิต

ผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงประการที่ 4อยู่ใน อสย. 43:2 “เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า”

ถ้าพระพักตร์ของพระเจ้าไม่ได้หลบลี้หนีเลี่ยงไปจากพี่น้อง แต่ยังทรงทอแสงมาเหนือชีวิตของพี่น้อง พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนนะครับว่า น้ำและไฟจะให้เพียงแค่ความรู้สึกกับพี่น้องเท่านั้น แต่มันจะไม่สามารถที่จะมาทำอะไรพี่น้องได้เลย

ผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงประการที่ 5อยู่ใน สดด.28:7 “พระเยโฮวาห์ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์ ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงปีติยินดียิ่ง ข้าพเจ้าจะถวายโมทนาแด่พระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า”

เราเป็นมนุษย์ที่มีความจำกัดในทุกสิ่ง รวมถึงกำลังและเรี่ยวแรงที่พี่น้องมีก็เช่นเดียวกัน แต่คนที่ถ่อมใจลงนั้นพระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระองค์จะทรงเป็นกำลังใหม่ให้กับเขา เป็นพลังที่เหนือพลัง ดังนั้นเขาจะไม่เหน็ดเหนื่อย อีกทั้งพระองค์จะทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในชีวิตของเขา พี่

น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงเป็นอุปถัมภ์ในชีวิตของเขา อะไรก็หยุดไม่อยู่ อะไรก็ห้ามไม่ได้ เขาจึงมีความปิติยินดีเพราะเขารู้ว่าความอุปถัมภ์นั้นมาจากพระเจ้า

ผลดีจากการที่เรานั้นมีใจที่ถ่อมลงประการที่ 6อยู่ในอสย. 50:9 “ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าว่ามีความผิด ดูเถิด บรรดาเขาทุกคนจะร่อยหรอไปเหมือนอย่างเสื้อผ้า ตัวมอดจะกินเขาเหล่านั้นเสีย”

เนื่องจากคนที่ถ่อมใจเป็นผู้ที่ได้รับพระพรจากพระเจ้ามาก ก็มักจะมีพี่น้องคริสเตียนบางคนที่ตาดี มองเข้ามาด้วยความอิจฉา พูดนั่นพูดนี่เยอะแยะมากมาย ทำให้ชื่อเสียงของคนผู้ที่พระเจ้าอวยพรนั้นเสื่อมเสีย

พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนนะครับว่า ผู้ที่ได้รับพระพรจงอยู่เฉยๆ เหตุเพราะเราคือพระเจ้าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการอวยพรเจ้า ดังนั้นเขาไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าแต่เขากำลังต่อสู้กับเรานั่นคือพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจะทรงจัดการคนเหล่านี้เอง

เพราะฉะนั้นเมื่อพี่น้อง เห็นพี่น้องของเราคนไหนนะครับ ที่เขาได้รับการอวยพรจากพระเจ้า แทนที่พี่น้องจะรู้สึกอิจฉา แทนที่พี่น้องจะรู้สึกคิดว่าทำไมถึงไม่เป็นเราว่ะ ผมขอหนุนใจให้พี่น้องที่จะร่วมแสดงความยินดีกับพี่น้องคนที่ได้รับพระพรคนนั้นในทันที

และนี่คือพระพรของผู้ที่มีจิตเป็นนาย มีกายเป็นบ่าว เป็นพระพรของผู้ที่ไม่มีใจที่แข็งกระด้าง เป็นพระพรของผู้ที่ไวต่องานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทั้งผลดีและผลร้ายนั้นพี่น้องเป็นคนเริ่มเองด้วยการกระทำ ฟังพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้แล้วรู้สึกว่า พระเจ้ากำลังพูดกับท่าน พี่น้องเริ่มต้นด้วยการกลับใจใหม่ บอกกับพระเจ้าว่า จะนำข้อแนะแนวคิดนี้ ไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข และพัฒนาชีวิตทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า

Green City