ทำความเชื่อให้เป็นความจริง

คำเทศนาเรื่อง ทำความเชื่อให้เป็นความจริง

ฮบ.11:1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง 2 โดยความเชื่อนี้เองคนในสมัยก่อนก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้า 3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

     ช่วงโควิด-19 เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้เห็นอะไรๆหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่ผมเห็นนั้นก็คือความเชื่อของผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่บ้างก็มีความเชื่อที่ตกขอบ บ้างก็มีความเชื่อที่ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ถูกต้อง บ้างก็ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ขาดก็ปฏิบัติ

     ความเชื่อที่ตกขอบ เป็นอย่างไร ? คือ ยังจัดให้มีการประชุมตามปกติ จนกระทั่งพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรพากันติดโควิด-19 กันทั้งคริสตจักร เช่น คริสตจักรแห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้เมื่อปีที่ผ่านมา

     ความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ? จัดให้มีการนมัสการอยู่โดยปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่งเราเป็นคริสตจักรที่ว่านี้

     ความเชื่อที่ขาดการปฏิบัติเป็นอย่างไร ? ราชการสั่งให้เฉพาะบางจังหวัดเท่านั้น โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักที่จะต้องหยุดกิจกรรม แต่คริสตจักรท้องถิ่นบางแห่ง ที่ไม่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ก็หยุดกิจกรรมตามไปด้วย

     พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ บางคนอ่านบอกว่า “เป็นนิยามของความเชื่อ” บางคนบอกว่า “คล้ายจินตนาการ” แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องนั่นก็คือว่า ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม คุณทำนิยามนี้ คุณทำจินตนาการนี้ให้เป็นความเชื่อได้ไหม ?

     สำหรับในประเทศไทยโควิด-19 ผ่านมาหนึ่งปีกว่าแล้ว ผมภาคภูมิใจที่คริสตจักรฯยังคงการนมัสการพระเจ้าได้ตามปกติ อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่าคริสตจักรฯแห่งนี้ไม่เคยปิดการนมัสการเลยสักสัปดาห์เดียว นี่คือความเชื่อที่เรามีในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่เราต้องผลิตความเชื่อนี้และทำความเชื่อนั้นให้เป็นจริงออกมา

     ผมใช้คำว่า “ผลิตความเชื่อ” หมายถึง ต้องฝึกฝน ต้องฝึกในการกล่าวถ้อยคำแห่งความเชื่อ ต้องฝึกฝนในการฝึกฝนอธิษฐานจากสิ่งที่ไม่มีให้มันมีขึ้นมาได้ ต้องฝีกฝนจากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปไม่ได้ และเราต้องฝึกฝนอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่าง

     เมื่อเราหมั่นฝึกฝนไม่ว่าจะเป็นในทางฝ่ายกายภาพหรือฝ่ายจิตวิญญาณมันจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นครับ ? ทักษะ ประสบการณ์ , ความชำนาญการ และเมื่อเรามีความชำนาญการมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะมีความชำนาญการพิเศษ (ผู้เชี่ยวชาญ)

ผู้เชี่ยวชาญพิเศษในทางฝ่ายจิตวิญญาณ คือ เราจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เหมือนดังที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์

     จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

      เราเชื่อในพระเจ้า เราเชื่อในพระคัมภีร์ พระสัญญา

     เราพบคำว่า “ความเชื่อ” ในข้อที่ 1 เราพบคำว่า “ความเชื่อ”ในข้อที่ 2 เราพบคำว่า “ความเชื่อ” ในข้อที่ 3 เราพบคำว่า “ความเชื่อ” ซึ่งนั่นหมายความว่า ในพระคำ 3 ข้อนี้เราพบคำว่า ความเชื่อ ถึง 3 ครั้ง

     คำถามคือว่า คริสเตียน เราเชื่ออะไร ? คริสเตียนเราเชื่อในพระเจ้า , เชื่อในพระคริสตธรรมคัมภีร์ , เชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า

ยน. 1:1 ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า

     ประการที่ 1 คริสเตียนเราเชื่อในพระเจ้า เราเชื่อในพระคัมภีร์

     สูตร ในการเชื่อพระเจ้า คือ เชื่อวางใจ แม้จะไม่เข้าใจแต่ต่อมาเราค่อยๆมาเรียนรู้จักกับพระเจ้าในภายภาคได้ไหมครับ ? ตรงนี้แหละที่ทำให้เราจะได้รับพระพรจากพระเจ้า

ดังนั้นเราต้องเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างกัลปจักรวาลนั้นยังทรงพระชนม์อยู่จริง ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถที่จะมองเห็นพระองค์ได้ก็ตาม

     ยน.4 : 24 บอกกับเราว่า “เพราะว่าพระเจ้านั้นทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่จะนมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” แต่เราสามารถที่จะรับรู้ถึงความทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ได้

     มีใครบางคนได้กล่าวเอาไว้ว่า นอกจากการ “อธิษฐาน” ที่พระเจ้าทรงทิ้งเอาไว้เป็นมรดกให้กับเราแล้ว ”ความเชื่อ” ก็เป็นมรดกอีกชิ้นหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงมอบเอาไว้ให้กับเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความเชื่อแล้ว จงผลิตความเชื่อที่มีออกมาให้เป็นความจริง

     ประการที่ 2 คริสเตียนเราเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า

     พี่น้องที่รักครับ เมื่อเราเปิดใจของเราออกต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา

     นอกเหนือจากนี้แล้วพระสัญญาของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงตรัสหรือได้ทรงสัญญาเอาไว้กับบรรพชนของเราในทุกๆข้อจะเข้ามามีส่วนอยู่ภายในชีวิตเราด้วยเช่นกัน เพราะเราคือลูกของพระเจ้า

     อฟ.2:12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า

     ดังนั้นเมื่อชีวิตมีปัญหาหรือเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ของชีวิตขึ้นมา ผู้เชื่อทุกคนมีพระสัญญาของพระเจ้ารองรับชีวิตของเราอยู่ความเชื่อคืออะไรครับ ? ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้

     ดังนั้นเราต้องเชื่ออย่างนั้นจริงๆนะครับ เมื่อเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เราจึงอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยการอ้างอิงถึงพระสัญญาของพระเจ้าหรือต่อรองกับพระเจ้าได้ เหมือนที่อับราฮัมอธิษฐานกับพระเจ้าเพื่อโลท

     ในเช้าวันนี้ผมจะพาพี่น้องมาดูพระสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเราจาก 6,000 กว่าข้อ เช้าวันนี้จะพาพี่น้องมาดูด้วยกันสัก 2 ข้อ

      สภษ.4:18 “แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆจนเต็มวัน”

      พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ชีวิตของผู้เชื่อจะเหมือนกับแสงอรุณ แสงอรุณเป็นอย่างไร ? ค่อยๆฉายความสุกใสขึ้นเต็มวันแน่นอนพอถึงเวลาพลบค่ำก็ค่อยๆตกลง

     ซึ่งนั่นหมายความว่า ชีวิตของผู้เชื่อนั่นย่อมมีขึ้นและมีลง(แต่ไม่เกี่ยวข้องกับดวงหรือเส้นกราฟนะครับ) แต่ถ้ามองโดยภาพรวมผ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์แล้วชีวิตของผู้เชื่อจะสูงขึ้น เขาจะเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง เหมือนคนยิวและคริสเตียนที่ผ่านมาที่ในเวลานี้ที่ทั้งยิวและคริสเตียนได้เป็นผู้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่โลก นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสัญญากับเขาเอาไว้

 

     1ปต5:10 “และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดรในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคงและมีกำลังขึ้น”

     พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ตรัสกับเราว่า พระเจ้าทรงเรียกเราให้เข้าสู่ “ศักดิ์ศรีนิรันดร” มีความหมายว่า พระเจ้าเรียกเราให้ได้ดี เจริญขึ้น ไม่อับอายขายหน้า อัตคัดอดยากหรือยากจน

     แต่ทุกวันนี้ที่ผู้เชื่อหลายคนยังไม่สูงขึ้น , ยังเป็นหาง , ยังไม่เจริญ , ยังอับอายขายหน้า , ยังอัตคัดหรือยังยากจนอยู่เพราะอะไรครับ ?

     เพราะผู้เชื่อส่วนมากมาเข้ารีตในศาสนาคริสต์แต่เรามาไม่ถึงพระคริสต์ เมื่อเราเริ่มต้นผิดทุกอย่างที่เราควรจะได้รับ เราก็ไม่ได้รับ เหมือนการติดกระดุมเม็ดแรก ถ้าเม็ดแรกเราติดผิด เม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นด้วยความเชื่อที่ถูกต้องนั้นสำคัญไหม ? การประพฤติการปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้านั้นก็สำคัญด้วย

     ยก.2:17 “ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล”

     ผู้เชื่อหลายคนขาดพระพรเพราะมีแต่ความเชื่อ แต่ขาดการปฏิบัติหรือขาดการลงมือทำ ลงมือทำแต่ขาดการปรึกษาหารือกับพระเจ้าพี่น้องขาดพระพรได้ไหมครับ ?

     สดด.1:2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้าเขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน 3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาลและใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น

     ธารน้ำ คือ ปัญญาของพระเจ้า พระคำของพระเจ้านั้นเป็นปัญญาเป็นข้อมูลทางความคิดให้กับเรา เราจึงพิจารณาได้ว่าเราควรทำอะไรก่อนหลัง อะไรควรทิ้ง อะไรควรทุ่ม อะไรควรหยุด อะไรควรไปต่อ

     เพราะฉะนั้นกับคำถามที่ว่า ลงมือทำลงมือทำแต่ขาดการปรึกษาหารือกับพระเจ้าพี่น้องจะขาดพระพรได้ไหมครับ ? ขาดพระพรได้ โดยเฉพาะในยุคนี้ พ.ศ.นี้

     ยุคที่โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ ยุคที่สภาพเศรษฐกิจพังพินาศไปทั่วโลก ถ้าพี่น้องไม่จับมือกับพระเจ้าให้แน่นๆพี่น้องผ่านได้ไม่ง่าย

            ดังนั้นความเชื่อในพระเจ้าที่เรามีแต่ถ้าไม่ได้ถูกผลิตออกมาใช้ ความเชื่อในพระเจ้าที่มีก็เป็นเพียงแค่องค์ความรู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งคริสเตียนที่มีความรู้ในพระเจ้านั้นมีมากแต่ทำให้เป็นความจริงมีน้อยมาก

     ดังนั้นเราต้องกล้าที่จะทำตามที่เรารู้ ดังนั้นเราต้องกล้าที่จะลงมือปฏิบัติ แนวทางของพระเจ้านั้นคือเริ่มต้นที่ความเชื่อและกล้าที่จะใช้ความเชื่อนั้นมาสู่การปฏิบัติให้เป็นจริงหรือที่คนไม่เชื่อพระเจ้าพูดว่า “นำมาประยุกต์ใช้” พระเจ้าจะทรงสนับสนุนและส่งเสริมความเชื่อและการกระทำอย่างนี้ของเรา

     ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา

     คำถาม เราเป็นทางนั้นให้กับใครได้ไหม ? เราเป็นความจริงเป็นชีวิตให้กับใครได้ไหม ? เรานำใครไปถึงพระบิดาได้ไหม ?

ทำความเชื่อในพระเจ้าที่เรามีให้เป็นจริงโดยทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เมื่อพระเจ้ามองเห็นแล้วว่า เราได้ทำในส่วนของเราอย่างเต็มที่แล้ว เกินกว่านี้เราทำไม่ได้แล้ว ในส่วนที่เกินกำลังของเรานั้นพระเจ้าจะทรงเป็นกระทำ

     สรุป

       ประการที่ 1 คริสเตียนเราเชื่อในพระเจ้า เราเชื่อในพระคัมภีร์

       ประการที่ 2 คริสเตียนเราเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า

       ประการที่ 3 มีความเชื่อต้องทำตามความเชื่อให้เป็นจริง

Green City